วันนี้เราก็ขอพาเพื่อนๆ ไปพบกับหนึ่งในสถานที่ในฝันของหลายๆ คนที่ต้องการไปพิชิตกัน กับจุดที่สูงที่สุดในโลกอย่างเทือกเขา Everest!!! แน่นอนว่าพอได้ยินชื่นี้หลายๆ คนถึงกับหูผึ่งเลยทีเดียว
เอเวอเรสต์ เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในแนวเทือกเขาหิมาลัย อยู่ระหว่างเขตแดนของประเทศเนปาลและเขตปกครองตนเองทิเบต สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเส้นทางที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว คือเส้นทางจากทางฝั่งเมือง Lukla ของประเทศเนปาล โดยชาวเนปาลเรียกยอดเขาเอเวอเรสต์ว่า “สครมาตา” หมายถึงมารดาแห่งท้องสมุทร ส่วนชาวทิเบตเรียกว่า “โชโมลังมา” หมายถึงมารดาแห่งสวรรค์
เมื่อเทียบกับระดับน้ำทะเล ถือว่าเอเวอเรสต์เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกอีกด้วย มีความสูงจากระดับน้ำทะเลอยู่ที่ 29,035 ฟุต หรือ 8,848 เมตร แต่ถ้าหากวัดจากฐานของภูเขาจนถึงยอดเขา ภูเขาไฟเมานา เคอา (Mauna Kea) ในหมู่เกาะฮาวาย ก็จะเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูง 33,500 ฟุต หรือ 10,210 เมตร ซึ่งเมื่อวัดจากระดับน้ำทะเลภูเขาลูกนี้ก็จะสูงเพียงแค่ 13,796 ฟุต หรือ 4,205 เมตร เท่านั้น
สำหรับการเกิดนั้น เอเวอเรสต์ ได้เกิดขึ้นมายาวนานมากกว่า 60 ล้านปีแล้ว เป็นภูเขาหินดินดาน ผสมกับหินปูน และหินอ่อน เกิดจากการชนกันของแผ่นเปลือกโลกอินเดียและแผ่นเปลือกโลกยูเรเชีย ซึ่งเมื่อแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนตัว มันก็จะสูงขึ้นประมาณ 0.25 นิ้ว ในทุก ๆ ปี
ก่อนหน้าที่จะมาเป็นชื่อเอเวอเรสต์ ภูเขาแห่งนี้เคยได้ชื่อว่ายอดเขา XV (ยอดที่ 15) แต่ในเวลาต่อมา เซอร์แอนดรูว์ วอห์ (Andrew Waugh) ได้ตั้งชื่อภูเขาแห่งนี้ว่า เอเวอเรสต์ ตามนามสกุลของ เซอร์จอร์จ อีฟเรสต์ (George Everest) (คำว่า Everest คนส่วนมากอ่านออกเสียงเป็นเอเวอเรสต์ ขณะที่เซอร์จอร์จอ่านออกเสียงชื่อสกุลของตัวเองว่าอีฟเรสต์) ซึ่งเป็นทีมสำรวจทีมแรกที่เข้าไปสำรวจยังบริเวณยอดเขาเอเวอเรสต์ในปี ค.ศ. 1841
ด้วยความที่ยอดเขาเอเวอเรสต์มีความสูงจากระดับน้ำทะเลมาก จึงทำให้มีความกดอากาศต่ำ มีอากาศหนาวเย็นจับใจในช่วงหน้าหนาว มีหิมะปกคลุมยอดเขาตลอดทั้งปี เส้นทางที่กว่าจะเข้าไปถึงบริเวณเบส แคมป์ (ประมาณ 5,364 เมตรจากระดับน้ำทะเล) ของทางฝั่งเนปาล ก็ยังต้องไต่เขาขึ้นไป ซึ่งไม่ได้มีความสะดวกสบาย และจากเบส แคมป์ ก็ยิ่งเป็นเส้นทางที่อันตรายมากยิ่งขึ้น เพราะยิ่งสูงความกดอากาศก็ยิ่งต่ำ มีออกซิเจนน้อย ลมพัดแรงมาก หากโชคไม่ดีก็อาจจะเจอกับพายุหิมะ ซึ่งนั่นหมายถึงการสูญเสียชีวิตเลยทีเดียว!!!
ในปี ค.ศ. 1924 นักปีนเขา 2 ท่าน คือ จอร์จ มัลลอรี (George Mallory) และ แอนดรู เออร์ไวน์ (Andrew Irvine) ได้พากันเดินขึ้นไปยังยอดเขาเอเวอเรสต์จากทางฝั่งทิเบต แต่โชคไม่ดีที่ทั้งสองไม่สามารถพาตัวเองกลับลงมาได้อีก ซึ่งจากการค้นพบศพของ จอร์จ มัลลอรี (George Mallory) นั้นอยู่ใกล้กับยอดเขา จึงยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าทั้งสองท่านได้ขึ้นไปถึงยอดเขาเอเวอเรสต์หรือไม่
เวลาต่อมาในปี ค.ศ. 1953 เอดมันด์ ฮิลลารี (Edmund Hillary) นักปีนเขาชาวนิวซีแลนด์ และ เทียนซิง นอร์เก (Tenzing Norgay) ชาวเชอร์ปาร์ ได้เป็นนักปีนเขาคู่แรกที่สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้ โดยมีหลักฐานชัดเจนเป็นภาพถ่ายของทั้งคู่บนยอดเขา
สำหรับนักปีนเขาที่อายุมากที่สุดที่สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ คือ Miura Yiuchiro นักปีนเขาชาวญี่ปุ่น ด้วยอายุ 80 ปี ในวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 2013 และนักปีนเขาที่มีอายุน้อยที่สุด คือ Jordan Romero ชาวอเมริกัน ด้วยอายุเพียง 13 ปี ในวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 2010
ก่อนที่จะเดินทางไปยังยอดเขาเอเวอเรสต์ หรือแม้กระทั่งเบส แคมป์ นักปีนเขาจำเป็นต้องศึกษาสภาพอากาศอย่างถี่ถ้วน โดยในเดือนที่เหมาะสมต่อการปีนสู่ยอดเขาเอเวอเรสต์จะอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคม และเดือนตุลาคม เพราะเป็นช่วงที่มีอากาศไม่หนาวเย็นมาก ไม่มีพายุหิมะ ท้องฟ้าจะเปิดโล่งสดใส มีอากาศเพียงพอต่อการหายใจ ทำให้การเดินทางนั้นง่ายขึ้นมาก
การจะขึ้นสู่ยอดเขาเอเวอเรสต์นั้นมี 2 เส้นทาง คือ เบส แคมป์ ทางด้านเหนือจากฝั่งทิเบต (5,150 เมตร) และเบส แคมป์ ทางด้านใต้จากฝั่งเมือง Lukla (5,364 เมตร) ประเทศเนปาล โดยจากทางฝั่งด้านทิเบตนั้นมีเส้นทางรถยนต์และรถไฟเข้าถึง หากต้องการโดยสารรถไฟนักท่องเที่ยวสามารถมาขึ้นรถไฟได้ที่เมือง Lhasa ในทิเบตไปสู่สถานี Shigatse ซึ่งเป็นบริเวณเบส แคมป์ ส่วนทางฝั่งประเทศเนปาลนักท่องเที่ยวสามารถนั่งเครื่องบินมาที่เมืองหลวง คือเมืองกาฐมาณฑุ แล้วต่อเครื่องบินไปลงที่เมือง Lukla จากนั้นเดินเท้าขึ้นสู่เบส แคมป์ ทางด้านใต้
ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปสู่ยอดเขาแห่งนี้เริ่มต้นสูงถึงคนละ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,087,649 บาท *ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง) เลยทีเดียว และไม่ใช่ว่าจะมีเพียงเงินอย่างเดียวแล้วจะไปเยือนเอเวอเรสต์ได้ นักปีนเขาต้องมีร่างกายที่แข็งแรง สามารถทนต่อสภาวะอากาศที่หนาวเย็นได้อย่างดีอีกด้วย
สุดยอดไปเลยว่ามั้ยสำหรับที่แห่งนี้ เพื่อนๆ คนไหนที่อยากไปพิชิตความฝันนี้กันล่ะก็ อย่าลืมเตรียมสภาพร่างกายให้ดีนะจ๊ะ ต้องอึด ถึก ทน มากๆ เลยทีเดียว
Source: Kapook