การรับประทานอาหารที่หมดอายุแล้วอาจมีความเสี่ยงต่อร่างกาย แต่เชื่อหรือไม่ว่า อาหารบางชนิดไม่มีวันหมดอายุ ซึ่งคุณจะปลอดภัยจากการกินอาหารเหล่านั้นแน่นอน จะมีอะไรบ้าง มาดูกัน..
1. ข้าว
อุณหภูมิที่ดีที่สุดในการเก็บข้าวอยู่ที่ 4.5 ° C หรือต่ำกว่านั้น ควรจัดเก็บข้าวไว้ในภาชนะพลาสติก(PETE) หรือในขวดแก้ว ข้าวสามารถเก็บไว้ได้ถึง 30 ปี โดยไม่สูญเสียกลิ่นและคุณค่าทางโภชนาการอาหาร
2. นมผง
นมผงที่มีการประมวลผลตามมาตรฐานด้านสุขภาพ สามารถจัดเก็บได้เป็นเวลานานโดยไม่สูญเสียคุณค่าทางโภชนาการ หากเก็บไว้ในภาชนะที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก
3. ซอสถั่วเหลือง
ซอสถั่วเหลืองสามารถเก็บไว้ได้นานถึง 3 ปีแม้ว่าขวดจะถูกเปิดแล้วก็ตาม อายุการเก็บรักษาซอสถั่วเหลืองจะนานแค่ไหนขึ้นอยู่กับภาชนะที่บรรจุหรือชนิดของซอสถั่วเหลือง
4. เมเปิ้ลไซรัป
เมเปิ้ลไซรัปเมเปิ้ลที่ยังไม่เปิดสามารถเก็บไว้ได้แบบไม่กำหนด แต่ถ้าหากเปิดแล้วก็ยังสามารถเก็บไว้รับประทานได้นานหลายปีถ้าเก็บไว้ในตู้เย็น
5. ถั่วขาวแห้ง
นักวิจัยจาก Brigham Young University ได้พบว่า หลังจากที่เก็บถั่วชนิดนี้ไว้นาน 30 ปี ถั่วมีการเปลี่ยนรูปร่างไปจากเดิม แต่สามารถใช้ได้ในสถานการณ์ที่ฉุกเฉิน
6. เกลือ
เกลือเป็นแร่ธาตุที่สามารถดูดซับน้ำได้อย่างรวดเร็วกลายเป็นก้อนได้เมื่อเวลาผ่านไป แต่เกลือไอโอดีนจะมีอายุเพียงหนึ่งปีเท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้วเกลือไอโอดีนจะสูญสิ้นคุณภาพและระเหยไป
7. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น วอดก้าวิสกี้ เหล้ารัม และคอนญักจะไม่มีวันหมดอายุ แต่ควรเก็บไว้ในที่มืดเย็น ๆ ในขวดที่ปิดสนิท
8. น้ำส้มสายชู
น้ำส้มสายชูเป็นผลิตภัณฑ์อื่นที่ไม่มีวันหมดอายุ แต่คุณควรเก็บไว้ในสภาวะที่เหมาะสม หากคุณต้องการเก็บน้ำส้มสายชูไว้เป็นเวลานาน วิธีที่ดีที่สุดคือ การเก็บไว้ในภาชนะบรรจุที่ผนึกอากาศ ห่างจากความร้อน และเก็บไว้ในที่มืด
9. น้ำตาล
น้ำตาลจะไม่มีวันหมดอายุ เช่นเดียวกับเกลือ ถ้าคุณเก็บไว้ในภาชนะที่มีอากาศถ่ายเท แม้ว่าน้ำตาลจะดูดซับน้ำจากอากาศและกลายเป็นก้อนโดยไม่เสียคุณภาพ
10. น้ำผึ้ง
น้ำผึ้งเป็นอาหารที่มีองค์ประกอบทางเคมี ซึ่งทำให้ยากต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย วิธีการรักษาน้ำผึ้งให้ยาวนานที่สุดคือการผิดฝาขวดน้ำผึ้งเพื่อไม่ให้สัมผัสกับอากาศและน้ำ
นอกจากนี้ยังมีอาหารอื่นๆอีกที่ไม่มีวันหมดอายุ แต่คุณจะต้องศึกษาให้ดีก่อนว่าคุณจะต้องเก็บรักษาอาหารอย่างไรให้สามารถรับประทานต่อไปได้อีก เพราะอาหารแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันนั่นเอง
ที่มา: brightside.me