มีเพื่อนๆคนไหนกำลังคิดเรื่องศึกษาต่อบ้างครับ ใครที่ยังไม่รู้ว่าอยากไปเมืองอะไร ประเทศไหน เราหวังว่านี่จะเป็นแนวทางช่วยให้น้องๆตัดสินใจได้ดีเลยนะครับ 10 อันดับเมืองที่น่าไปเรียนต่อที่สุดในโลกปี 2016 จัดอันดับโดย Quacquarelli Symonds หรือ QS สำนักที่จัดอันดับมหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศอังกฤษ
ซึ่งมีเกณฑ์การคัดเลือกและตัดสินจาก 5 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก, ความหลากหลายทางเชื้อชาติของนักศึกษา, อัตราการจ้างงาน, คุณภาพชีวิตของนักศึกษา และค่าครองชีพ
อันดับ 1 : ปารีส ประเทศฝรั่งเศส
ถึงแม้ปารีสจะเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูง แต่เมื่อเทียบค่าธรรมเนียมการศึกษาที่ค่อนข้างถูกแล้ว จึงทำให้นักศึกษาสามารถวางแผนงบประมาณและค่าใช้จ่ายในการเรียนที่นี่ได้ไม่ยาก ทั้งยังเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดอันดับที่ 29 ของโลกอีกด้วย
อันดับ 2 : เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย
ได้คะแนนสูงในด้าน ความหลากหลายทางเชื้อชาติของนักศึกษา อัตราการจ้างงานและคุณภาพชีวิต เมลเบิร์นขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งศิลปะวัฒนธรรมและการศึกษา มีชายหาดอันสวยงามให้ไปอาบแดดชิล ๆ กันในหน้าร้อน ส่วนใครที่ชอบท่องราตรี ขอบอกว่าสีสันยามค่ำคืนของที่นี่ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน
อันดับ 3 : โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
เป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของประเทศญี่ปุ่นที่มีความหนาแน่นของประชากรค่อนข้างสูง แต่ก็เป็นมหานครที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์ มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยและบรรยากาศเมืองอันคึกคักที่ดึงดูดให้ผู้คนทั่วโลกเดินทางไปสัมผัส
อันดับ 4 : ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย
ซิดนีย์ได้คะแนนน้อยกว่าเมลเบิร์นเนื่องจากมีค่าครองชีพและค่าธรรมเนียมการศึกษาที่สูงกว่า แต่นั่นก็ไม่ทำให้นักศึกษาย่อท้อต่อการมาเรียนต่อที่นี่ ด้วยความที่เมืองซิดนีย์มีทัศนียภาพที่งดงาม และยังมีมหาวิทยาลัย 5 แห่งที่ติดอันดับ QS World University Rankings นำโดย University of Sydney ซึ่งติดอันดับที่ 45 ของโลก
อันดับ 5 : ลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ลอนดอนถือเป็นเมืองศูนย์กลางการศึกษาชั้นนำระดับโลกอย่างแท้จริง เพราะมีมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับโลกจำนวนมากที่สุดถึง 19 แห่ง นอกจากความโดดเด่นด้านการศึกษาแล้วยังเป็นเมืองศูนย์กลางด้านการเงินและอุตสาหกรรมที่สำคัญของโลก
ส่วนข้อเสียของการมาเรียนต่อที่นี่คือค่าครองชีพและค่าธรรมเนียมการศึกษาที่ค่อนข้างแพง
อันดับ 6 : ประเทศสิงคโปร์
บัณฑิตชาวสิงคโปร์เป็นที่ต้องการของบริษัทต่างชาติโดยเฉพาะในทวีปเอเชีย มหาวิทยาลัยของสิงคโปร์ที่ติดอันดับโลก
นอกจากนี้ยังเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูง มีอัตราการก่ออาชญากรรมและอัตราการว่างงานต่ำ รวมถึงเป็นประเทศที่มีการคอรัปชั่นน้อยที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก
อันดับ 7 : มอนทรีออล ประเทศแคนาดา
คะแนนด้านที่โดดเด่นของมอนทรีออลคือความหลากหลายทางเชื้อชาติจากการอพยพเข้ามาของผู้คนจากทั่วโลก ส่งผลทำให้มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมสูง นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่มีประชากรพูดภาษาฝรั่งเศสมากที่สุดในโลกรองจากปารีส
อันดับ 8 : ฮ่องกง
ฮ่องกงเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นศูนย์กลางทางด้านการเงินชั้นนำของโลก และยังเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นมากที่สุดเมืองหนึ่ง แต่ฮ่องกงกลับมีความปลอดภัยสูงมากเป็นอันดับ 21 ของโลก เพราะประชาชนส่วนใหญ่เคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย ถึงแม้ฮ่องกงจะเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก แต่เมื่อเทียบค่าธรรมเนียมการศึกษาถือว่าอยู่ในระดับกลาง
อันดับ 9 : เบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี
กรุงเบอร์ลินเมืองหลวงของประเทศเยอรมนี เป็นหนึ่งในเมืองที่มีความคูลระดับแนวหน้าของโลกในด้านศิลปะวัฒนธรรม ผู้นำแฟชั่น ดีไซน์และดนตรี ถือเป็นคู่แข่งที่สูสีมากเทียบกับนครนิวยอร์กและกรุงลอนดอน สิ่งสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้เบอร์ลินเป็นเมืองแห่งการศึกษาคือมหาวิทยาลัยรัฐโดยส่วนใหญ่ไม่เก็บค่าเล่าเรียนหรือค่าธรรมเนียมการศึกษา ทั้งกับนักศึกษาท้องถิ่นและนักศึกษาต่างชาติ
อันดับ 10 : โซล ประเทศเกาหลีใต้
เป็นอีกหนึ่งเมืองในฝันของการมาเรียนต่อของนักศึกษาไทย เพราะเป็นเมืองที่ถือเป็นผู้นำด้านแฟชั่นแถวหน้าของเอเชีย บรรยากาศดีและเต็มไปด้วยแสงสีเสียงที่ทันสมัย ส่วนในด้านการศึกษานั้น โซลมีมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับโลกมากถึง 16 แห่ง นำโดย Seoul National University อยู่อันดับที่ 36 ของโลก นอกจากนี้ยังได้คะแนนสูงในด้านคุณภาพชีวิตของนักศึกษาอีกด้วย
มาถึงตอนนี้ เพื่อนๆมีเมืองในฝันที่อยากจะไปแล้วหรือยังครับ ไม่ว่าเพื่อนๆจะเลือกเมืองไหน รับรองเลยครับว่านอกจากจะได้ความรู้แล้ว เรายังได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆในชีวิตอีกด้วย
source: mthai