ถึงเดี๋ยวนี้วิทยาศาสตร์ และเหล่าวิทยาการต่างๆ นั้นจะก้าวหน้าไปมากแค่ไหน ก็ยังมีบางสิ่งที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถหาคำอธิบายขึ้นมาได้
และวันนี้เราเลยอยากจะพาเพื่อนๆ ไปพบกับ 12 การค้นพบสุดลึกลับทางโบราณคดี ที่แม้แต่เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ลองมาดูกันเลยว่าจะมีอะไรกันบ้าง…
1.Antikythera Mechanism
อายุเก่าแก่กว่า 100-150 ปีก่อนคริสตกาล เครื่องกลนี้คล้ายเครื่องคอมพิวเตอร์ มันถูกใช้เป็นตัวระบุ หรือทำนาย ตำแหน่งของดวงดาว ทำนายปฏิทินจันทรุปราคา โดยจากการศึกษานั้นพบว่า มันเป็นโครงสร้างที่ซับซ้อนคล้ายนาฬิกา และคอมพิวเตอร์แบบอนาล็อก มีส่วนประกอบที่เป็นเกียร์ ถึง 30 เกียร์
โดยชิ้นส่วนนี้ค้นพบจากซากเรือ Antikythera ที่นอกชายฝั่งของเกาะ Antikythera ในกรีซ ซึ่งเชื่อว่าถูกสร้างและออกแบบโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวกรีกโบราณ ซึ่งสิ่งนี้เป็นเทคโนโลยีที่ซับซ้อนชิ้นสุดท้าย และไม่มีอะไรที่ซับซ้อนกว่านี้ถูกพัฒนาอีกเลยจนถึงยุคกลางนั่นเอง
2.Baghdad Battery
หรือเรียกอีกอย่างว่า Parthian Battery นั้น ถูกพบหลายที่ในประเทศอิรัก และมีอายุในช่วง 200-500 ก่อนคริสตกาล หรือในยุคของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ซึ่งนั่นหมายความว่า คนในยุคโบราณดูเหมือนจะมีความรู้เรื่องไฟฟ้า ก่อนการค้นพบของเบนจามิน แฟรงคลินเสียอีก แต่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่มองว่ามันคือ วิธีในการเชื่อมอัญมณีด้วยไฟฟ้า แต่ยังไม่มีการยืนยันแน่นอน
ทั้งนี้ นักทฤษฎีหลายคนที่สนับสนุนในการค้นพบนี้ออกมาบอกว่า ในอดีตมีการใช้ไฟฟ้ามาก่อนแล้ว อาทิ มีการใช้จุดไฟเหนือหอคอยที่อเล็กซานเดรียประเทศอียิปต์ และในอุโมงค์ในปิรามิด ซึ่งถ้าเป็นเรื่องจริง ก็เป็นการบอกว่า มีการค้นพบเซลล์ไฟฟ้าก่อนที่ Alessandro Volta จะค้นพบในปี 1800 นับพันปีเลยทีเดียว
3.Baltic Sea Anomaly
กลุ่มของนักดำน้ำชาวสวีเดน Ocean X ทำการค้นพบวัตถุต้องสงสัยและไม่สามารถระบุได้ ในเดือนมิถุนายน 2011 ที่คล้ายจะเป็น UFO ซึ่งการค้นคว้าต่อมาพบว่า มันน่าจะมีอายุกว่า 140,000 ปี ใต้ทะเลบอลติก มีลักษณะเป็นรูปร่างคล้ายหิน ก้อนกลม
จากการค้นพบนั้น มันคล้ายๆ แกรนิตหยาบ ขนาดหนา 3-4 เมตร กว้าง 60 เซนติเมตร ตามเส้นผ่านศูนย์กลาง อยู่ลึกลงไป 85-90 เมตร มีอีกชิ้นนึงที่อยู่ไม่ไกลออกไป ราว 300 เมตร ซึ่งคล้ายๆ จะ “runaway”
ซึ่งความแปลกก็คือ ถ้ามีเรือล่องไปอยู่เหนือสิ่งนี้ เครื่องยนต์จะดับทันที หรือขัดข้องทันที เมื่อห่างออกไป ก็กลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม ทำให้นักวิทยาศาสตร์งงมาก
4.กระโหลกแก้วคริสตัล
ตั้งแต่มีการค้นพบครั้งแรก ก็มีการถกเถียงกันอย่างหนาหู เพราะมีหลายคนบอกว่ามีหลายครั้งที่เป็นของปลอม แต่ในขณะที่การสืบค้นต่อมา มีหลายด้านที่น่าเชื่อว่ามันมาจากยุคโบราณ แต่ยังไม่มีใครสืบทราบได้ว่ามันถูกสร้่างขึ้นมาทำไม และสร้างขึ้นมาอย่างไร เพราะมันไม่มีร่องรอยของเครื่องมือเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่จากการศึกษาเพิ่มเติมนั้นคาดว่า น่าจะมาจากยุค pre-Columbian Mesoamerican โดยสำหรับคนที่เชื่อในเรื่องลี้ลับ นั้น มีหลายคนเคลมว่า กระโหลกแก้วนี้ มีอำนาจลึกลับอยู่ภายใน อาทิ Anna Mitchell-Hedges ลูกสาวของนักผจญภัยที่เคยพบมันเข้าโดยบังเอิญนั้นบอกว่า กระโหลกนี้สามารถทำให้หยั่งรู้ล่วงหน้าได้ รักษาโรคมะเร็งได้ และครั้งหนึ่งเธอเคยใช้อำนาจของมันในการฆ่าคนอีกด้วย!
5.วัตถุบินได้ของยุคโบราณ
มนุษย์เราใฝ่ฝันอยากบินได้มานานนับพันปีแล้ว เมื่อเราเห็นนกบินอย่างเป็นอิสระบนท้องฟ้า แต่นั่นต้องใช้เวลานาน จนกว่ามนุษย์จะสามารถคิดค้นไอเดียแบบนี้ขึ้นมาได้ในศตวรรษที่ 13 จนกว่าลีโอนาโด ดาร์วินชี่ จะคิดค้นสิ่งที่มีปีกคล้ายเครื่องบินขึ้นมาได้ในศตวรรษที่ 16 และจนกว่าสองพี่น้องตระกูลไรท์ จะสร้างความฝันนั้นขึ้นมาเป็นความจริงในการสร้างเครื่องบินลำแรกในปี 1903
แต่ในที่สุด ก็มีนักโบราณคดีเชื่อว่า มนุษย์เคยสร้างวัตถุที่บินได้มาก่อนหน้านั้นแล้ว ก่อนหน้านั้นมากจริงๆ นานมากจนหลายคนคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล่าและไม่เป็นความจริงหรือไม่ โดยสิ่งนั้นถูกค้นพบในปี 1898 ในสุสานของ Saqquara ในอียิปต์ ซึ่งเชื่อว่ามีอายุราว 200 ปีก่อนคริสตกาล
นอกจากนี้ Gold trinkets ยังถูกค้นพบในดินแดนแถบอเมริกากลาง และชายฝั่งแถบอเมริกาใต้ ซึ่งเชื่อว่ามีอายุในช่วง คศ. 500-800
6.พบรอยเท้าของมนุษย์และไดโนเสาร์อยู่ด้วยกัน
การค้นพบซากฟอสซิลรอยเท้ามนุษย์และไดโนเสาร์อยู่ด้วยกันจะทำให้ความเชื่อเกี่ยวกับที่มาของมนุษย์ถูกลบล้างหรือไม่?
ทั้งนี้การค้นพบที่เป็นที่ถกเถียงมากที่สุดของการเจอซากรอยเท้ามนุษย์และไดโนเสาร์อยู่ด้วยกันนั้นคือการค้นพบที่ Paluxy River สหรัฐอเมริกา เพราะถ้าหากมันคือเรื่องจริง มันจะทำให้ทุกสิ่งที่อย่างที่เราเรียนและเชื่อมาว่า มนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิงคือเรื่องโกหก เพราะสิ่งที่พวกเขาค้นพบเกิดขึ้นมาหลายพันล้านปี แต่วิวัฒนาการจากลิงสู่มนุษย์มันเป็นแค่ 7 ล้านปีเท่านั้น และเราเชื่อมาตลอดว่า ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปกว่า 65 ล้านปีแล้วนั่นเอง
7.รังสีจากซากมนุษย์ที่มีอายุ 8,000-12,000 ปี
พบเรื่องราวแปลกๆ นี้ที่เมืองในอินเดียและปากีสถาน ได้แก่เมือง Harrapa และเมือง Mohenjo-Daro ก็คือ มีการเจอซากมนุษย์ที่มีกัมมันตรังสีออกมา และมีก้อนอิฐที่ละลาย
ทั้งนี้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์ได้มีการขุดเมืองโบราณแห่งนี้ และทำให้พบระเบิดอะตอมมิค ที่มีอายุย้อนไปยาวนานกว่า 8,000 – 12,000 ปี ซึ่งนักวิทยาศาสตร์นึกไม่ออกเลยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร นอกจากเสียจากจะเป็นระเบิดนิวเคลียร์ เพราะดูจากปฏิกิริยา ที่เกิดขึ้นกับสิ่งที่อยู่รอบๆ ซากมนุษย์เหล่านั้น
8.ซากโคเคนและยาสูบในมัมมี่
นักวิจัยออกมาบอกว่าเขามีหลักฐานของการค้นพบซากโคเคน ใบยาสูบ และฮาร์นิช ในซากมัมมีของชาวอียิปต์โบราณ และซูดาน ที่มีอายุกว่า 3,000 ปี
คุณไม่มีทางเชื่อแน่ๆ ถ้าคุณเชื่อว่า ไม่มีทางเชื่อมต่อกันระหว่างอเมริกาใต้และอียิปต์ เพราะต้นโคคามีปลูกขึ้นที่อเมริกาใต้เท่านั้น และใบยาสูบที่ไม่มีที่อียิปต์ในตอนนั้น แต่มีการค้นพบซากของสองสิ่งนี้ในมัมมี่จากอียิปต์โบราณได้อย่างไร
9.ท่อน้ำประปาโบราณในจีน
ในจังหวัด Qinghai province ซึ่งเป็นที่ที่ไม่น่าจะอยู่ได้สำหรับมนุษย์ ในแถบภูเขา Baigong ที่ประเทศจีน มีการค้นพบท่อน้ำหลายร้อยท่อ จากถ้ำ 3 ถ้ำ ไปยังทะเลสาบน้ำเกลือด้านล่าง และยังพบท่ออีกมากมายที่ทะเลสาบ และบริเวณชายหาดอีกด้วย ยังไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร และทำไม แต่ที่แปลกที่สุดคือมันน่าจะมีอายุราว 150,000 ปีแล้ว
ซึ่งนักวิจัยใช้เทคนิค thermoluminescence ในการระบุุว่าวัตถุโบราณอายุประมาณเท่าไหร่แล้ว ซึ่งความจริงก็คือ เป็นที่เชื่อว่ามนุษย์ได้อยู่อาศัยในดินแดนนั้นได้เพียงแค่ 30,000 ปีเท่านั้น และคนแรกๆ ที่อาศัยนั้นเป็นพวกชนเผ่าเร่ร่อนที่ไม่สามารถมีเทคโนโลยีซับซ้อนแบบนั้นได้
10.Giant Balls of Costa Rica.
หนึ่งในสิ่งที่ค้นพบและแปลกที่สุดคือการค้นพบที่ Diquis Delta ณ ประเทศ Costa Rica ในช่วงปี 1930s นั้น มีหินทรงกลมหลายร้อยก้อนถูกค้นพบ มีขนาดเล็กตั้งแต่ ไม่กี่เซนติเมตรจนถึง หินทรงกลมหนัก 16 ตัน ซึ่งเกือบทั้งหมดทำมาจาก granodiorite หินที่หนักและแข็งมาก
นักวิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้เลยว่า ลูกทรงกลมขนาดใหญ่นี้ใครเป็นคนสร้าง สร้างทำไม เพราะอะไร แต่น่าเสียดาย ที่มีคนขโมยไป บ้างก็ถูกทำลาย จนตอนนี้เหลือเพียงไม่มากแล้ว
11.สิ่งก่อสร้างที่มีส่วนล็อกประสานในตัวที่ชื่อ Puma Punku
Puma Punku คือส่วนหนึ่งของวัดขนาดใหญ่ ที่เป็นส่วนหนึ่งของ Tiwanaku Site near Tiwanaku, Bolivia ซึ่งวิศวกรยังคงทึ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสิ่งก่อสร้างโบราณนี้ ที่มี interlock segment หรือ ส่วนที่เชื่อมประสานกันอยู่ภายใน โดยใช้ diorite ที่มีขนาดหนักหลายตันมาประกอบกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่หนักที่สุดนอกเหนือจากเพชร
ซึ่งนักวิศวกรสมัยใหม่ยอมรับแล้วว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะสร้างสิ่งก่อสร้างเลียนแบบสิ่งนี้ได้ในปัจจุบัน ที่จะคำนวนได้ถูกต้องแม่นยำเพียงนั้น
12.The Voynich Manuscript
ถึงแม้ว่าต้นฉบับนี้จะเป็นที่ยืนยันแล้วว่าเป็นของจริงจากยุคกลาง แต่ยังไม่มีใครสามารถถอดรหัสได้…โดยตัวของต้นฉบับนี้นั้นมี สัญลักษณ์รูปภาพกว่า 17,000 รูป ส่วนมากใช้ปากกาในการวาด ซึ่งส่วนที่เป็นตัวอักษรมีการใช้ตัวอีกษรเพียง 30 ตัวเท่านั้น ส่วนภาษาที่ใช้นั้น ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า คล้ายๆ กับการใช้ธรรมชาติ และภาษากายของมนุษย์มาช่วย และตัวต้นฉบับหนังสือนี้น่าจะครอบคลุมทั้งเรื่องราวของ ชีววิทยา สมุนไพร ดวงดาว และตำราการแพทย์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังไม่มีใครมั่นใจจนกว่ามันจะถูกถอดรหัสสำเร็จ
นับว่าเป็นเรื่องราวลึกลับที่น่าสนใจเลยทีเดียว ถ้าใครมีเรื่องราวหรือรายละเอียดเพิ่มเติมก็แนะนำกันเข้ามาที่นี่ได้เลยนะจ๊ะ
Source: Kitdoo