วนเวียนมาอีกครั้งกับวันแห่งความรัก ซึ่งเป็นเดือนที่ท้องถนนหรือผู้คนเต็มไปด้วยความสดใส ประกอบความลมเย็นๆ ในช่วงฤดูหนาวเท่านี้ก็ดูเป็นเดือนที่แสนโรแมนติกแล้ว ซึ่งอันที่จริงวันวาเลนไทน์ก็ไม่ได้มีความหมายเฉพาะกับคู่รักหนุ่มสาวเท่านั้น แต่ยังตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อสำหรับบางคน
และในบทความนี้เรามีข้อเท็จจริงของวันวาเลนไทน์มานำเสนอกันค่ะ บางเรื่องก็เป็นประเด็นที่หลายคนยังไม่เคยรู้มาก่อน
1. ทำไมต้องฉลองในวันที่ 14 กุมภาพันธ์
เรื่องนี้มีความเป็นมาจากเซนต์วาเลนไทน์ หรือ นักบุญวาเลนไทน์ ที่ถูกประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์จากคำประกาษิตของจักรพรรดิแห่งโรมันคลอดิอุสที่สอง ว่ากันว่ามีอยู่หลายตำนานที่ทำให้เขาถูกประหารชีวิต
ประเด็นที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดคือแอบทำพิธีแต่งงานให้คู่หนุ่มสาว เนื่องจากสมัยนั้นพระเจ้าคลอดิอุสต้องการให้ผู้ชายเป็นทหารมากกว่า อีกหนึ่งตำนานก็บอกว่าเซนต์วาเลนไทน์ทำการช่วยนักโทษคาทอลิกที่ถูกจองจำเพราะความเชื่อทางศสานาของพวกเขา
2. ทำไมถึงเรียกว่า ‘วาเลนไทน์’
ตำนานเล่าว่าตอนที่เซนต์วาเลนไทน์อยู่ในคุก เขาได้อธิษฐานให้ลูกสาวของหนึ่งในคณะผู้พิพากษา ช่วยให้รักษาอาการตาบอดของเธอ และก่อนการประหารชีวิตเขาได้เขียนจดหมายลงลายมือชื่อว่า ‘From your Valentine
3. ทำไมถึงวาดหัวใจในแบบที่เรามักจะวาดกันอยู่ตลอด
รูปหัวใจที่เราคุ้นเคยมันง่ายต่อการวาดโดยไม่มีใครรู้มูลเหตุที่มาจริงๆ แต่บางข้อเท็จจริงที่เป็นไปได้คือรูปร่างมันคล้ายกับต้นซิลเฟียมที่ตอนนี้สูญพันธุ์ไปแล้ว บางตำนานก็บอกหัวใจมีความคล้ายกับรูปร่างของหน้าอก ก้น อวัยวะเพศหญิง
4. ทำไมต้องให้ดอกกุหลาบ
ย้อนไปในสมัยวิคตอเรีย ผู้คนจะแสดงออกทางความรักผ่านภาษาดอกไม้ กล่าวคือดอกไม้ชนิดนั้นๆ จะสื่อความหมายแทนข้อความ และดอกกุหลาบสีแดงหมายถึงความโรแมนติก
5. และทำไมต้องใส่สีแดง
สีแดงถูกยกให้เป็นสีแห่งหลงใหล ตัณหา อารมณ์ และความรู้สึกเรื่องเพศ อีกทั้งยังได้รับการยืนยันทางด้านวิทยาศาสตร์ด้วย จากการศึกษาโดยนักจิตวิทยาจาก University of Rochester พบว่าผู้ชายมักมองผู้หญิงที่สวมใส่สีแดง หรือยืนอยู่โดยมีฉากหลังสีแดงอย่างมีนัยสำคัญ มากกว่าผู้หญิงที่ใส่หรือยืนอยู่ตรงฉากหลังสีอื่นๆ
6. ทำไมถึงกินซ็อกโกแลต
เรื่องนี้มีที่มา Richard Cadbury หลังจากที่เขากับพี่ชายเข้ามารับช่วงต่อธุรกิจผลิตช็อกโกแลตของครอบครัวเขาได้ค้นพบวิธีการสกัดเนยโกโก้บริสุทธิ์จากถั่ว และเพิ่มลงในเครื่องดื่มช็อกโกแลตของบริษัท กระบวนการผลิตเนยโกโก้ได้มากกว่าที่คาดไว้ ดังนั้นเขาจึงใส่ไว้ช็อกโกแลตประเภท ‘eating chocolate’ นับแต่นั้นมาก็ได้เปลี่ยนแนวทางธุรกิจของ Cadbury มีการออกแบบกล่องที่สวยงามมากขึ้นสำหรับช็อกโกแลต
7. ส่งการ์ดให้กัน
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 การส่งการ์ดที่เขียนด้วยลายมือและสัญลักษณ์อื่นๆ ของความเสน่หาคือประเพณีที่นิยมทำกันในวันวาเลนไทน์ที่ประเทศอังกฤษ
8. ทำไมกามเทพถึงเป็นสัญลักษณ์ของความรัก
ก่อนที่เขาจะถูกเรียกว่ากามเทพชาวกรีกเรียกชื่อเทพสวรรค์นี้ว่า Eros ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก ตามตำนานเทพเจ้ากรีกกามเทพมีลูกศรอยู่ 2 แบบที่ทำให้มนุษย์ตกหลุมรักและเกลียดกัน ส่วนในตำนานของโรมันกามเทพเป็นบุตรชายของเทพวีนัส ซึ่งเป็นเทพธิดาแห่งความรัก
ในช่วงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาศิลปินวาดกามเทพเป็นพุตโต เทวดาเด็กกึ่งเปลือยกาย จากนั้นมาก็กลายเป็นสัญลักษณ์ยอดนิยมในวาเลนไทน์
9. ทำไมต้องเป็นลูกอมรูปหัวใจ
ย้อนกลับไปตอนสงครามกลางเมืองอเมริกา ที่มีการผลิตลูกอมที่เรียกว่าหอยแครงและได้รับความนิยมในเชิงบวก คล้ายกับคุกกี้เสี่ยงทายซึ่งเป็นขนมที่รูปร่างคล้ายหอยเชลล์และมีข้อความซ่อนอยู่
Daniel Chase พี่ชายของ Oliver ผู้ก่อตั้งบริษัทลูกอม NECCO จึงเกิดการปิ๊งไอเดียพิมพ์คำพูดหวานๆ ลงบนลูกอม และในปี 1866 บริษัท NECCO ก็ได้ผลิตลูกอมหัวใจที่เรียกว่า “motto hearts”
10. ทำไมนกพิราบถึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก
นกพิราบเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของความสัมพันธ์และสันติภาพ ความเชื่อมโยงเรื่องนกพิราบกับความรักก็ต้องย้อนกลับไปที่ตำนานเทพเจ้ากรีก นกพิราบเป็นนกศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพีอโฟร์ไดท์ เทพธิดาแห่งความรักนั่นเอง และนกพิราบก็เป็นสัตว์ที่มีแนวโน้มในการอยู่ร่วมกับคู่ของมันตลอดช่วงฤดูผสมพันธุ์ นกพิราบตัวผู้ก็จะคอยดูแลตัวเมียเมื่อลูกนกคลอดออกมา
11. ทำไม “XOXO” เพื่อเป็นตัวแทนในการกอดและการจูบ
ย้อนกลับไปในยุคกลาง X เป็นสัญลักษณ์สำหรับการจูบ ทฤษฎีที่พบมากที่สุดระบุว่าคนยุคกลางหลายคนที่ไม่สามารถอ่านออกจะลงนามในเอกสารด้วยเครื่องหมาย X ซึ่งเป็นตัวแทนของพระเยซูคริสต์ เพราะมีความคล้ายคลึงกันกับไม้กางเขน แต่สำหรับ O ด้านข้อมูลยังไม่ชัดเจนนัก แต่เป็นตัวแทนของคำว่ากอด บางทฤษฎีบอกว่า O มันง่ายที่จะเขียน
12. ทำไมคู่รักถึงชอบใช้คำว่า “lovebirds”
วันที่ 14 กุมภาพันธ์เป็นช่วงเริ่มต้นของฤดูเริ่มผสมพันธุ์ของนก ที่ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งของวันแห่งความรักและความโรแมนติกเพิ่มขึ้นไปอีก แต่นกชนิดหนึ่งที่เรียกว่านกเลิฟเบิร์ดมีอยู่จริงๆ นะ พวกนี้จะชอบเคล้าคลอเคลียกัน เราจึงเอาชื่อนี้มาเรียกเลียนแบบพฤติกรรมของคนรัก
13. ทำไมประเทศญี่ปุ่นถึงแตกต่างกัน
ในวันวาเลนไทน์ของอเมริกา ผู้ชายจะใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้อของขวัญให้ภรรยา แต่กลับกันสำหรับญี่ปุ่นซึ่งภรรยาจะเป็นผู้ให้ และสามีเป็นผู้รับ จุดเริ่มต้นนี้มาจากบริษัทช็อกโกแลตชื่อดัง Morozoff ที่สื่อสารเรื่องเทศกาลของชาวตะวันตกผิดพลาด แต่อย่างไรก็ตามในวันที่ 1 มีนาคม ชาวญี่ปุ่นก็จะเฉลิมฉลองในวัน ‘White Day’ คือเป็นตอบรับของฝ่ายชายที่ได้รับจากฝ่ายหญิงเมื่อวันที่ 14 กุมภา
14. ทำไมถึงมีลูกไม้และริบบิ้นมากมายมาเกี่ยวข้อง
ในยุคกลางอัศวินมักจะขี่ม้าเข้าสู่สนามรบ พร้อมถือริบบิ้นจากคู่รักซึ่งเชื่อว่าเป็นโชคดี ในขณะที่ลูกไม้มีความเชื่อมโยงไปถึงความรัก
15. ทำไมไม่ใช่แค่เพียงคู่รัก
แม้ว่าวันวาเลนไทน์จะเกี่ยวข้องกับความรักโดยตรง แต่ก็มีหลายวิธีที่เฉลิมฉลองโดยปราศจากความโรแมนติกเข้ามาข้องแวะ ซึ่ง Good Housekeeping เผยว่า ผู้ที่ได้รับการ์ดวันวาเลนไทน์มากที่สุดคือคุณครู โดยน่าจะมาจากการฉลองวาเลนไทน์ในชั้นเรียน นอกจากนี้ผู้คนยังนิยมซื้อการ์ดให้ลูกๆ ให้คุณแม่ ที่ไม่ใช่คู่รักก็มี
ที่มา www.rd.com