อยากพูดภาษาอังกฤษให้ฟังดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นไหม? ถ้าคำตอบคือใช่ วันนี้ได้เรียนรู้แน่นอน!! เพราะการพูดในภาษาอังกฤษนั้นไม่ได้มีแค่ “Hi” กับ “How are you?” มันยังมีอีกหลายคำที่สามารถใช้สื่อสารอย่างมีประโยชน์ได้
และหากคุณอยากฝึกฝนด้านการพูดให้เหมือนเจ้าของภาษามากขึ้น คุณมาถูกที่แล้ว!! ด้านล่างนี้คือ 15 วลีพื้นฐานที่ถูกใช้ทุกวัน มีประโยชน์ช่วยพัฒนาความรู้ภาษาอังกฤษให้เติบโต ไปดูกันเลย :D
1. Thanks so much.
ประโยคง่ายๆ เพื่อขอบคุณใครสักคน สามารถใส่รายละเอียดเพิ่มเติมได้ เช่น Thanks so much + for + [noun] / [-ing verb] ตัวอย่างดังนี้
– Thanks so much for the birthday money.
– Thanks so much for driving me home.
2. I really appreciate…
อีกหนึ่งวลีในการขอบคุณ เช่น
– I really appreciate your help.
– Thanks so much for cooking dinner. I really appreciate it.
– Thanks so much. I really appreciate you cooking dinner.
3. Excuse me.
ประโยคที่ต้องพูดเมื่อต้องการเดินผ่าน แต่มีคนขวางทางนั้นอยู่ รวมถึงใช้เพื่อดึงดูดความสนใจผู้อื่นอย่างสุภาพ เช่น
– Excuse me sir, you dropped your wallet.
– Excuse me, do you know what time it is?
4. I’m sorry.
ใช้วลีนี้เพื่อขอโทษไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ซึ่งมักจะตามด้วย ‘for’ เพื่อให้รายละเอียดเพิ่มเติม เช่น
– I’m sorry for being so late.
– I’m sorry for the mess. I wasn’t expecting anyone today.
– You can use “really” to show you’re very sorry for something:
– I’m really sorry I didn’t invite you to the party.
5. What do you think?
เมื่อคุณต้องการรับฟังความคิดเห็นของใครบางคนเกี่ยวกับหัวข้อต่างๆ ให้ใช้คำถามนี้ เช่น
– I’m not sure if we should paint the room yellow or blue. What do you think?
6. How does that sound?
คำถามเพื่อถามความคิดเห็นว่าคนอื่นคิดอย่างไรในเรื่องที่กำลังถูกพูดถึง ไม่ว่าจะเป็นไอเดีย หรือแผนต่างๆ ตัวอย่างดังนี้
– We could have dinner at 6, and then go to a movie. How does that sound?
– Let’s hire a band to play music, and Brent can photograph the event. How does that sound?
#7 That sounds great.
วลีนี้สามารถใช้ตอบกลับเมื่อชอบแนวคิดหรือไอเดียต่างๆ หรือสามารถใช้ “Great”, “Awesome”, “Perfect”, “Excellent” หรือ “Fantastic” ก็ได้เช่นกัน ดังนี้
– A: My mom is baking cookies this afternoon. We could go to my house and eat some. How does that sound?
B: That sounds fantastic!
8. (Oh) never mind.
เมื่อใครคนหนึ่งไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่คุณอธิบาย และคุณไม่อยากอธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกต่อไป สามารถหยุดได้ด้วยการประโยคนี้ มันยังสามารถใช้ในความหมายว่า ‘ไม่สำคัญ’ หรือ ‘ลืมมันไป’ เช่น
– A: Are you going to the grocery store today?
B: No, I’m not. But why—do you need something?
A: Oh, never mind. It’s okay, I’ll go tomorrow.
9. I’m learning English.
เป็นวลีง่ายๆ ที่บอกว่าภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแม่ของคุณ และกำลังฝึกฝนอยู่ สำหรับมือใหม่ในการเรียนภาษาอังกฤษสามารถใช้วลีว่า “I just started learning English.” ได้ เช่น
– My name is Sophie and I’m learning English.
10. I don’t understand.
ใช้วลีนี้เมื่อไม่เข้าใจความหมายหรือสิ่งที่ผู้พูดได้กล่าวถึง ตัวอย่างดังนี้
– Sorry, I don’t understand. The U.S. Electoral College seems very confusing!
11. Could you repeat that please?
หากคุณต้องการให้ใครพูดคำ, คำถามหรือวลีอีกครั้งให้ใช้คำถามนี้ ตัวอย่างดังนี้
– Could you please repeat that?
– Could you repeat that please?
12. Could you please talk slower?
หลายคนคงเคยเจอเมื่อเจ้าของภาษาพูดเร็วมากๆ จับใจความยาก และเข้าใจยาก วลีนี้เป็นวิธีง่ายๆ ในการบอกให้พูดช้าลง เช่น
– A: You can give us a call any weekday from 8:00 a.m. to 5:00 p.m. at five five five, two five zero eight, extension three three—
B: I’m sorry, could you please talk slower?
หมายเหตุ: วลีนี้ไม่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ อย่างไรก็ตามมักใช้ในการพูดในชีวิตประจำวันแบบสบายๆ ซึ่งวลีที่ถูกต้องคือ “Could you please talk more slowly?”
13. Thank you. That helps a lot.
หลังจากใครสักคนได้พูดช้าลงจนคุณเข้าใจแล้ว ก็สามารถตอบขอบคุณได้ด้วยวลีนี้ สามารถนำไปปรับใช้กับสถานการณ์อื่นๆ ได้ ตัวอย่างการใช้ดังนี้
– A: Ben, could you please make the font bigger? It’s hard for me to read the words.
B: Sure! I’ll change it from size 10 to 16. How’s this?
A: Thank you. That helps a lot.
14. What does _____ mean?
แปลว่า _____ หมายถึงอะไร? มักใช้เมื่อได้ยินหรือเห็นคำใหม สามารถใช้วลีนี้เพื่อถามความหมาย ดังนี้
– A: What does “font” mean?
B: It’s the style of letters, numbers and punctuation marks when you type. A common font in the USA is Times New Roman.
15. How do you spell that?
การสะกดคำในภาษาอังกฤษอาจเป็นเรื่องยุ่งยาก ดังนั้นอย่าลืมเรียนรู้คำถามนี้ คุณยังสามารถถามใครบางคนเมื่อต้องการให้ช่วยสะกดคำได้ว่า “Could you spell that for me?”
A: My name is Robbertah Handkerchief.
B: How do you spell that?
เพียงแค่จำวลีเหล่านี้พร้อมความหมายของมันให้ดี เชื่อว่าผู้ที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองทุกคนก็สามารถพูดคุยโต้ตอบกับชาวต่างชาติได้คล่องปร๋อ
ค่อยๆ ฝึกฝนไปทีละนิด ไม่แน่ว่าการพัฒนาภาษาอังกฤษของคุณอาจเพิ่มขึ้นโดยที่ยังไม่ทันรู้ตัว ^^’
ที่มา: fluentu