ปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเงินคือปัจจัยที่สำคัญมากในชีวิตของมนุษย์อย่างเราๆ และใครๆก็อยากจะเป็นเศรษฐี แต่การที่เราจะประสบความสำเร็จจนกลายเป็นมหาเศรษฐีได้นั้นก็เป็นเรื่องที่ยากเอาการเลยหล่ะ แต่ไหนๆในโลกเราก็เต็มไปด้วยมหาเศรษฐี ในวันนี้ Scholarship.in.th เลยจะพาเพื่อนๆไปรู้จับกับ 15 ข้อคิดดีๆ จากมหาเศรษฐีระดับโลก ที่สร้างสรรค์สุดๆ และคุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน!!
ลารี่ เพจ และ เซอร์เกย์ บริน Google คือผลลัพธ์ของความแตกต่าง
ทั้งสองคนคือผู้ก่อตั้งบริษัท Search Engine ชื่อดังอย่าง Google ซึ่งจุดเริ่มต้นมาจากการที่เขาทั้งสองคนกำลังศึกษาปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ต โดย search engine ของพวกเขาทำให้แตกต่างจากเจ้าอื่นๆ หลักในการทำงานคือ การวิเคราะห์ตัวเลขและความเชื่อมโยงกันของลิงก์ระหว่างหลาย ๆ หน้าเว็บไซต์ ซึ่งไม่เหมือนเสิร์ชเอนจินทั่วไปที่ค้นหาเฉพาะคีย์เวิร์ดเท่านั้น
มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก จากไอเดียทำเว็บจับคู่แบบขำ ๆ พัฒนาสู่ Facebook ที่สร้างมูลค่านับแสนล้าน
มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg)เริ่มสร้าง facebook สมัยยังเป็นนักศึกษาอยู่ที่ Harvard โดยริเริ่มจากการทำเว็บไซต์หาคู่เดทในมหาวิทยาลัยชื่อว่า Hot or Not และจากประสบการณ์การสร้างเว็บนี้ ทำให้เขามีไอเดียในการต่อยอด โดยเขามีโจทย์ว่า ต้องการให้ผู้คนที่ไม่ได้ติดต่อกันเป็นเวลานานนั้นได้ติดต่อกันง่ายๆ ผ่านทางออนไลน์ เขาจึงเริ่มสร้าง thefacebook.com ซึ่งต่อมาก็กลายเป็น Facebook ในปัจจุบัน
ไมเคิล บลูมเบิร์ก จากนักธุรกิจวอล สตรีทสู่เจ้าพ่อแห่งวงการสื่อการเงิน-การลงทุน
ไมเคิล บลูมเบิร์ก (Michael Bloomberg) ทำงานเป็นนักธุรกิจที่วอล สตรีท ซึ่งทำให้เขารู้ในทันทีว่าบริษัททางการเงินเต็มใจที่จะจ่ายเงินแพง ๆ ให้กับสื่อมวลชนเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลทางธุรกิจที่มีความน่าเชื่อถือ รู้แบบนี้แล้ว Bloomberg จึงไม่รีรอ เขาได้ตั้งบริษัทที่ขายข้อมูลทางการเงินสำคัญ ๆ ผ่านทางคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ ซึ่งนั่นทำให้ Bloomberg มีรายได้ต่อปีมากกว่า 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และกลายมาเป็นหนึ่งในบริษัทจัดทำสื่อและข้อมูลทางการเงินที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
เจฟ เบซอส ผมอยากจะทำ “ร้านหนังสือออนไลน์” Amazon
เจฟ เบซอส (Jeff Bezos) เคยทำงานอยู่ในบริษัทแห่งหนึ่งในย่านวอล สตรีท โดยในช่วงก่อนปี 1990 Jeff มีความต้องการที่จะเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง ซึ่งเขาอยากทำร้านหนังสือแบบออนไลน์ เขาจึงตัดสินใจเปิดบริษัทขึ้นมา โดยตั้งชื่อว่า Amazon
ลารี่ เอลลีสัน ชีวิตวัยเด็กที่ยากจนทำให้เขามีวันนี้กับการเป็นประธาน Oracle database
ลารี่ เอลลีสัน (Larry Ellison) เติบโตในทางตอนใต้ของชิคาโก เขามีชีวิตที่ยากลำบากมาก่อนในช่วงวัยเด็ก และในช่วงกลางปี 1960 ต่อมา เอลลีสัน ไปพบรายงานของ IBM โดยบังเอิญ ซึ่งในหนังสือเล่มนั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับฐานข้อมูลภาษาของโปรแกรม หรือที่เรียกว่า SQL จากรายงานเล่มนั้นทำให้เขาได้รับแรงบันดาลใจในการสร้าง SQL และ Oracle database ขึ้นมา ซึ่งสามารถทำงานได้กับทุกระบบคอมพิวเตอร์ถึงแม้จะไม่ใช่เครื่องของ IBM ก็ตาม ภายหลังจากเปิดขาย Oracle เพียงไม่กี่ปี Oracle ได้กลายมาเป็นฐานข้อมูลที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา
บิล เกตส์ จากบริษัทในโรงรถสู่บริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์รายใหญ่ที่สุดในโลก
ในปี 1975 สองผู้ก่อตั้งบริษัท Microsoft อย่าง บิลล์ เกตส์ (Bill Gates) และ พอล อัลเลน (Paul Allen) ไปเจอโฆษณาคอมพิวเตอร์รุ่น Altair 8800 ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบของไมโครคอมพิวเตอร์ที่เก่าแก่ที่สุด พวกเขาได้เขียนภาษาคอมพิวเตอร์ขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า BASIC ซึ่งต่อมากลายเป็นรหัสพื้นฐานสำหรับ Altair 8800 ไม่นานหลังจากนั้น Microsoft ได้สร้างระบบปฏิบัติการที่เรียก DOS และออกใบอนุญาตให้กับ IBM นำไปใช้
ไม่กี่ปีถัดมา Microsoft ก็ได้สร้าง Windows ขึ้นมา ซึ่ง Windows มีกราฟิกอินเทอร์เฟซที่ดีกว่า DOS หลายขุม ตั้งแต่นั้นมา Microsoft ก็ได้กลายมาเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยี หรือแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเบอร์ 1 ของโลกตลอดกาลเลยก็ว่าได้
มาร์ค เบนิออฟ บิดาแห่ง Cloud ที่เปลี่ยนทุกความเชื่อเรื่องซอฟต์แวร์ไปตลอดกาล
มาร์ค เบนิออฟ (Marc Benioff) ได้ปฏิวัติทุกแนวความคิดทันทีที่เขาก่อตั้งบริษัท Saleforce ในปี 1998 เบนิออฟ ต้องการที่ส่งซอฟต์แวร์ผ่านเว็บ หรือที่เรียกว่า Cloud ซึ่งมันทำให้การติดตั้งและอัพเดทโปรแกรมรวดเร็วและง่ายมากยิ่งขึ้น
มาร์ก คูบาน จากบาร์เทนเดอร์ สู่นักธุรกิจชั้นนำผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนได้ทำตามฝัน
มาร์ก คูบาน (Mark Cuban) คือเจ้าของกิจการด้านอินเทอร์เน็ตคนแรก ๆ ในยุค 90 เขาก่อตั้งบริษัทที่มีชื่อว่า Broadcast.com ซึ่งมาจากแนวความคิดที่เขาอยากจะให้มีการให้บริการสื่อที่ประชาชนสามารถเลือกได้เอง ซึ่งจะออกอากาศผ่านทางเว็บ ต่อมาเขาได้ขายบริษัท Broadcast.com ให้กับ Yahoo ในราคา 5,700 ล้านเหรียญสหรัฐ และล่าสุด Broadcast.com ก็ได้หายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แจ็ค หม่า อาลีบาบา มาจากความหลงใหลล้วน ๆ
แจ็ค หม่า กลายเป็นผู้หลงใหลในอินเทอร์เน็ตหลังจากการใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 1955 และเมื่อเขามีโอกาสกลับบ้าน ก็ได้ริเริ่มก่อตั้ง 2 บริษัทด้วยกัน สุดท้ายก็เป็นตามที่คาดหมายว่าเจ๊ง แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้โดยเริ่มทำการเริ่มทำเว็บขายของออนไลน์ ที่เหล่าพ่อค้าแม่ค้าสามารถที่จะโพสต์รูปภาพรวมถึงบรรยายสรรพคุณสินค้าของตัวเองลงไปในเว็บไซต์ของ หม่า เพื่อให้คนซื้อสามารถจิ้ม ๆ ๆ ๆ เลือกรายการสินค้าได้โดยตรงจากเว็บไซต์ และกลายเป็นเว็บที่โด่งดังในที่สุดชื่อว่า อาลีบาบา (Alibaba)
แจน คูม วอตสแอพคือนิยามใหม่ของการแชท
แจน คูม (Jan Koum) ซีอีโอผู้ก่อตั้ง วอทแอพ (Whatsapp) ต้องการที่จะสร้างแอพพลิเคชั่น โฟน บุ๊ก ที่บันทึกรายชื่อของเพื่อน หรือครอบครัว ที่มาพร้อมกับการอัพเดทสถานะ และแสดงรายชื่อบุคคลถัดไปได้อย่างชัดเจน อย่างเช่นว่า คู่สนทนานั้นอยู่ที่ไหนในขณะนี้ หรือว่าคนนี้กำลังติดสายอยู่หรือไม่ ต่อมา WhatsApp ก็ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นมา ฟีเจอร์ต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ ทยอยถูกนำเสนอออกมา เช่น การส่งแจ้งเตือนอัตโนมัติ ก่อนที่จะเข้าแพลตฟอร์มของข้อความที่ปรากฎอยู่ ณ ปัจจุบัน
เจอร์รี่ หยาง และ เดวิด ฟิโล่ กับการร่วมก่อตั้งเว็บไดเรคทอรี่ที่ใหญ่ที่สุดในโลกนามว่า Yahoo
เจอร์รี่ หยาง (Jerry Yang) และ เดวิด ฟิโล่ (David Filo) เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัย Stanford ตอนนั้น หยาง และ ฟิโล่ คิดไอเดียที่อยากจะสร้างสารบบสำหรับเว็บไซต์ขึ้นมา พวกเขาก็ได้ก่อตั้งบริษัทที่มีชื่อว่า “Jerry and David’s Guide to the World Wide Web” แค่ปีเดียวหลังการก่อตั้ง Jerry and David’s Guide to the World Wide Web. ได้กลายมาเป็นหนึ่งในเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก หลังจากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนชื่อเว็บไซต์เป็น Yahoo ซึ่งทุกวันนี้ Yahoo ก็ยังคงเป็นหนึ่งในเว็บพอร์ทอลที่ใหญ่ที่สุดโลก
ไมเคิล เดลล์ การเข้าถึงลูกค้าแบบไม่ผ่านนายหน้าคือกุญแจแห่งความสำเร็จของ Dell
เมื่อครั้งที่เขายังเป็นนักศึกษาอยู่นั้น เขาได้คิดว่าจะทำอย่างไรให้พนักงานขายคอมพิวเตอร์สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างง่ายดาย เขาจึงได้ริเริ่มก่อตั้งบริษัท Dell ขึ้นมา โดยเป็นแหล่งรวบรวมชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ จนในที่สุดก็กลายเป็นแบรนด์คอมพิวเตอร์ไปโดยปริยาย
นิค วู้ดแมน ผู้ทำลายทุกกฎเกณฑ์ของกล้องถ่ายวิดีโอ
เพื่อสนองนี้ดของเหล่านักโต้คลื่นทั้งหลาย นิค วู้ดแมน (Nick Woodman) ผู้ก่อตั้งบริษัท GoPro เลยสนองซะ โดย Nick ต้องการที่จะช่วยเหลือบรรดานักเล่นกระดานโต้คลื่นให้สามารถถ่ายภาพได้ด้วยตัวเองขณะที่กำลังโต้คลื่นยักษ์อยู่ Nick ใช้เวลาอยู่หลายปีในการคิดค้นวิธีการที่จะยึดตัวกล้องให้ติดกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น บนหมวกกันน็อก หน้ารถแข่ง บนสเกตบอร์ด หน้ารถมอเตอร์ไซค์ เป็นต้น จนออกมาเป็นกล้อง GoPro เวอร์ชั่นแรก อย่างที่เราเห็น
กว่าคนเหล่านี้จะกลายเป็นมหาเศรษฐีที่เราเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้ พวกเขาก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย หวังว่าข้อคิดดีๆของพวกเขาเหล่านี้จะช่วยให้เพื่อนๆเล็งเห็นอะไรบางอย่าง แล้วเอาไปเป็นแรงบันดาลใจกันนะครับ
ที่มา: Postjung