หัวใจสำคัญของการท่องเที่ยวนั่นคือการกิน!! นอกจากจำเป็นต้องทำให้กระเพาะอิ่มหนำมีเรี่ยวแรงในการเที่ยวชมแล้ว การได้ลิ้มชิมรสอาหารจากต่างแดนถือเป็นเรื่องฟินที่ทุกคนไม่ควรพลาด
และในวันนี้เราจะพาไปชม 21 ทริปท่องเที่ยวตระเวนกินรอบโลก ที่คนรักอาหารจะต้องไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
1. ไปกินหอยนางรมที่ Galway ในไอร์แลนด์ ที่นี่ขึ้นชื่อมาก โดยเฉพาะการได้กินกับวิสกี้หรือเบียร์ดีๆ ก็ยิ่งยอดเยี่ยม!!
2. กินหมูย่างที่ Ruta del Lechón ปวยร์โตรีโก หมูหันหนังกรอบ เสียบเหล็กย่างทั้งตัว ให้คุณชี้เลือกได้เลยว่าจะเอาชิ้นไหน ยิ่งทานร่วมกับอาหารพื้น
บ้านอื่นๆ ยิ่งเข้ากั๊นเข้ากัน นอกจากนั้นยังมีเพลงจากวงดนตรีท้องถิ่นเปิดคลอบรรยากาศอีกด้วย
3. ไปกินบาร์บีคิวที่รัฐนอร์ทแคโรไลนา ที่นี่โดดเด่นที่การแยกน้ำส้มสายชูตามสไตล์ตะวันออกและมะเขือเทศของตะวันตก
4. ไปกินพิซซ่าที่เนเปิลส์ ประเทศอิตาลี่ ที่นี่แหละคือต้นกำเนิดของอาหารชนิดนี้เลย
5. ไวน์บอร์โดซ์ ที่เมืองบอร์โด ประเทศฝรั่งเศส เป็นไวน์ที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนทั่วโลก และภูมิภาคนี้เองที่เป็นแหละปลูกไวน์ที่ใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส
6. ไปกินชีสที่ Bregenzerwald Cheese Road ประเทศออสเตรเลีย เป็นถนนสายที่รวบรวมเกษตรกรท้องถิ่นกว่า 160 คน มีทั้งทำเนยและชีส ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ของชีสมากกว่า 60 ชนิด
7. ทรัฟเฟิลขาว ในอัลบา ประเทศอิตาลี ความพิเศษของเห็ดชนิดคือใช่มันสามารถเจอได้ในทุกพื้นที่ แต่ในป่า Langhe ทรัฟเฟิลกลับเจริญเติบโตได้ดี นอกจากนี้ยังมีราคายังสูงลิบลิ่ว อยู่ที่ $95,000 (ประมาณ 3,150,000 บาท) ต่อ 4 ปอนด์!!!
8. ไปกินแฮม jamón (ฮามอน) ที่ Jabugo ประเทศสเปน เป็นแฮมที่แพงที่สุดในโลก ซึ่งจะแล่จากขาหลังของหมูดำไอบีเรีย ซึ่งตามกฎหมายด้านอาหารของสเปน แฮมไอบีเรียต้องทำมาจากหมูไอบีเรียสีดำเท่านั้น
9. กินปลาสดๆ ใหม่ๆ กันที่ตลาดปลาซึกิจิ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ตลาดปลาสดที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ในทุกวันจะมีปลาประมาณ 2,000 ตันที่ต้องเปลี่ยนใหม่เสมอ
10. น้ำมันมะกอก ที่ Vía Verde del Aceite ประเทศสเปน ที่นี่เป็นหนึ่งในแหล่งผลิตน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้หมู่บ้านนับสิบของที่นี่ยังถูกยกให้เป็นมรดกโลกจากองค์กรยูเนสโกด้วย
11. กาแฟที่ Zona Cafetera ประเทศโคลอมเบีย ได้รับการขนานนามว่าเป็นกาแฟที่ดีที่สุดในโลก และองค์การยูเนสโกได้ประกาศภูเขาปลูกกาแฟแห่งนี้ให้เป็นมรดกโลกในปี 2011
12. แชมเปญ ในแคว้น Champagne ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งสปาร์คกิ้งไวน์จะได้รับอนุญาตให้เรียกว่าแชมเปญก็ต่อเมื่อถูกผลิตในแคว้น Champagne ของฝรั่งเศส และต้องอยู่ในการควบคุมของกฏหมายบางอย่างที่เข้มงวดด้วย
13. มาต่อกันที่เบอร์เบิ้นวิสกี้ จากรัฐเคนทักกี้ ที่นี่เป็นต้นกำเนิดของวิสกี้ชนิดนี้โดยแท้ โดย Kentucky Bourbon Trail เป็นเส้นทางที่มีโรงกลั่น 9 แห่งที่กระจายอยู่ทั่วในระยะ 60 ไมล์ระหว่างเมือง Louisville และเมือง Lexington
14. ศูนย์อาหารที่ Maxwell Road Hawker Centre ประเทศสิงคโปร์ เป็นศูนย์การค้าที่มีชื่อเสียงมาก เต็มไปด้วยอาหารและของคาวหวานให้เลือกตามสั่งมากมาย
15. คราฟต์เบียร์ ที่พอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน เป็นที่ตั้งของโรงกลั่นกว่า 60 แห่ง ซึ่งมีมากกว่าที่อื่นๆ ในโลก
16. ไปชิมช็อปสมุนไพรและเครื่องเทศที่ Spice Bazaar เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี ที่นี่ไม่เพียงแต่ขายเครื่องเทศเท่านั้น ยังมีสมุนไพรแห้ง ผลไม้ ชากาแฟ ให้เลือกซื้อมากมาย
17. บาร์บีคิว Asado ที่อาร์เจนตินา ได้รับการขนานนามว่าเป็นเนื้อย่างอันโอชะ อร่อยรสเลิศที่สุดของอาร์เจนตินา ทั้งกรอบนอก ฉ่ำใน พูดแล้วน้ำลายสอ
18. เบียร์ Kölsch จากเมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี เป็นเบียร์ที่มีกรรมวิธีการชงและหมักเฉพาะในเมืองโคโลญเท่านั้น ถ้าเกิดขึ้นที่อื่นๆ ไม่สามารถเรียกว่าเบียร์ Kölsch ได้จริงๆ
19. Pecorino Romano (ชีสนมแกะ 100%) จากแคว้นซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลี เป็นชีสเค็มที่ถือว่าเก่าแก่ที่สุดของอิตาลี อันมีมาตั้งแต่ยุคโรมัน
20. ไปเมากันต่อกับวิสกี้ที่เกาะไอเลย์ ประเทศสกอตแลนด์ ด้วยภูมิทัศน์ทางการเกษตรบวกกับกระบวนการผลิตวิสกี้แบบดั้งเดิมที่ย้อนไปกว่า 600 ปี จึงทำให้ดูขลังสำหรับคนรักวิสกี้
21. วอฟเฟิลเบลเยียม มีขนาดใหญ่แต่น้ำหนักเบา อีกทั้งยังกรอบกว่าวอฟเฟิลแบบอเมริกัน ซึ่งสำหรับประเทศเบลเยียม วอฟเฟิลไม่ใช่อาหารเช้าแต่เป็นของทานเล่นที่หาซื้อได้ทั่วไปตามข้างถนน
ที่มา thisisinsider.com