ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทางเลือกเรียนต่อในปัจจุบันมีอยู่หลายทางจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น หลักสูตร Joint Degree ที่ได้รับความนิยมจากนักศึกษาทั่วโลก
Joint Degree เป็นหลักสูตรร่วมกัน ดำเนินการโดยมหาวิทยาลัยสองแห่ง เมื่อสำเร็จการศึกษามาแล้วจะได้รับปริญญาสองใบ ในสองสาขา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นในระดับปริญญาโท
A double หรือ joint Master’s degree จัดขึ้นโดยสองสถาบัน อาจอยู่คนละประเทศ หรือเรียนในสาขาที่ต่างกัน ตราบใดที่เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างมหาวิทยาลัย
โดยสามารถเรียนได้ทั้งการบริหารธุรกิจและกฎหมาย หรือวิศวกรรมและวิทยาการคอมพิวเตอร์ หรือประวัติศาสตร์และรัฐศาสตร์ เป็นต้น
และนี่คือข้อดีของการเรียนแบบ joining a double degree ในต่างประเทศ
1. ได้รับประสบการณ์ และสภาพแวดล้อมทางการศึกษาใน 2 แบบ
การเรียนแบบหลักสูตรร่วมกันนี้จะต้องแบ่งเวลาออกเป็นสองช่วงสำหรับมหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง ซึ่งเมื่อถึงคราวต้องทำวิทยานิพนธ์ก็เท่ากับว่าคุณมีที่ปรึกษาจากทั้งสองสถาบัน คอยชี้ทางการศึกษา และให้มุมมองที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียน
2. เพิ่มเครือข่ายทางวิชาชีพเป็นสองเท่า
เพราะได้ติดต่อกับนักวิชาการ นักศึกษา และผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาชีพในโปรแกรมทั้งสอง และเมื่อคุณสำเร็จการศึกษาก็จะต้องประหลาดใจกับจำนวนที่เครือข่ายคนรู้จักที่เพิ่มในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งจำนวนผู้ติดต่อที่เพิ่มมากขึ้นนี้จะเป็นประโยชน์ทั้งในระหว่างเรียน และหลังจบการศึกษาไปแล้ว
3. เพิ่มความชำนาญเป็นสองเท่าในระยะเวลาสั้นๆ
แม้การเรียนหลักสูตรร่วมจะใช้เวลานานกว่าหลักสูตรปริญญาโททั่วไป (ปริญญาโทปกติเรียน 2 ปี แต่หลักสูตรร่วมบางแห่งอาจใช้เวลา 3 ปี ซึ่งขึ้นอยู่กับหลักสูตรที่เลือก) อย่างไรก็ตาม รับรองว่าจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากการเรียน Joint Degree ทั้งยังช่วยส่งเสริมศักยภาพให้เพิ่มพูนขึ้นภายในเวลาสั้นๆ
4. โอกาสการได้งานสูง
แน่นอนว่าคุณจะมีข้อได้เปรียบที่ไม่เหมือนใครใน CV ของคุณ การมีปริญญาจากหลักสูตรร่วมเป็นสัญญาณให้นายจ้างเห็นตั้งแต่ครั้งแรกเลยว่า คุณมีความรู้แบบสหวิทยาการ และทักษะในการปรับตัวที่ดี
การเรียนแบบหลักสูตรร่วมยังพิสูจน์ให้เห็นอีกว่า ตัวคุณมีความตั้งใจอย่างแท้จริงในการรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ มีจรรยาบรรณ และมีความรับผิดชอบต่องาน
ที่มา www.mastersportal.com