หลังจากที่ติดตามเด็กฉลาดหลายพันคนเป็นเวลาถึง45 ปี นักวิจัยเหล่านี้ก็ได้เรียนรู้สิ่งที่น่าสนใจหลายข้อ หนึ่งในนั้นก็คือ แม้แต่เด็กที่มี IQ ระดับอัจฉริยะก็ต้องการครูที่จะช่วยให้พวกเขาสามารถดึงศักยภาพออกมาได้เต็มที่
นับตั้งแต่ปี 1971 “การศึกษาเยาวชนที่มีคุณวุฒิทางคณิตศาสตร์” หรือ SMPY ได้ติดตามเด็กที่ฉลาดที่สุดจำนวน 5,000 คนในอเมริกา และพวกเขาพบว่า เด็กๆเหล่านี้ มักมีบางสิ่งที่คล้ายคลึงกัน และนี่คือความเหมือนเหล่านั้น ที่คุณอาจจะต้องแปลกใจ
1.มีเพียง 1%, 0.1% และ 0.01% ของสุดยอดเด็กฉลาดเท่านั้น ที่จะได้มีชีวิตที่พิเศษกว่าเด็กทั่วไป
SMPY (ออกเสียงว่า “simpy”) ได้ทดสอบความฉลาดของเด็กในหลายวิธีและมองหาปัจจัยเสริมอื่นๆเพื่อเก็บข้อมูลสิ่งที่พวกเขาพบคือมีเด็กอัจฉริยะเพียงไม่กี่คนที่จะสามารถประสบความสำเร็จและใช้ชีวิตในแบบพิเศษได้ และ 5% ในนั้นคือกลุ่มคนที่มีรายได้ที่สูงมาก อีกทั้งยังเป็นผู้นำทางสังคมอีกด้วย
2.เหล่าเด็กอัจฉริยะมักถูกละเลย
ปัญหาคือเด็กกลุ่มนี้ มักได้รับความเอาใจใส่จากครูน้อยเกินไปซึ่งมีแนวโน้มว่าอาจจะทำให้พวกเขาไม่สามารถแสดงศักยภาพของตัวเองออกมาได้เต็มที่
เมื่อนักวิจัย SMPY ให้ความเห็นว่าเป็นเพราะคุณครูใช้เวลาในชั้นเรียนส่วนใหญ่ไปกับการดูแลเด็กที่ผลการเรียนน่าเป็นห่วงมากกว่า
ดังนั้นครูควรหลีกเลี่ยงการสอนที่เหมาะกับทุกคน และมุ่งเน้นการสอนที่เฉพาะเจาะจงสำหรับนักเรียนในแต่ละกลุ่ม
3.เรียนตามความสามารถของเด็กจะได้ผลดีกว่า
เพื่อช่วยให้เด็กเข้าถึงศักยภาพ ครูและผู้ปกครองควรพิจารณาการย้ายชั้นเรียนของเด็กที่มีพรสวรรค์ มีการเปรียบเทียบระหว่างเด็กที่เรียนไปตามหลักสูตรกับเด็กที่เรียนตามความสามารถของตัวเอง พบว่าอย่างหลังมีโอกาสได้รับสิทธิบัตรและปริญญาเอกมากถึง 60% ในสาขาที่เกี่ยวข้องกับ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีวิศวกรรม หรือคณิตศาสตร์
4.แม้แต่ในกลุ่มเด็กฉลาดก็ยังมีความหลากหลาย
การเป็นคนฉลาด ไม่ได้หมายความว่ามีแค่ความสามารถในการจำเรื่องต่างๆได้เป็นอย่างดีเท่านั้น SMPY ได้ค้นพบว่าเด็กฉลาดบางคนมีความสามารถในการให้เหตุผลเชิงพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
เด็กเหล่านี้มีความสามารถในการแสดงภาพระบบ เช่นระบบไหลเวียนโลหิตของมนุษย์หรือกายวิภาคของฮอนด้า ในปี 2013 การสำรวจติดตามผลพบว่ามีการเชื่อมต่อระหว่างทักษะการคิดเชิงพื้นที่และจำนวนสิทธิบัตรที่ยื่นและเอกสารที่ได้รับการตรวจสอบโดย peer-reviewed
5.การทดสอบตามมาตรฐานไม่ใช่เรื่องเสียเวลาเสมอไป
แม้ว่าการทดสอบมาตรฐานอย่าง SAT จะไม่สามารถช่วยให้ครูหรือผู้ปกครองรู้ได้ว่า เด็กๆของพวกเขามีพรสวรรค์ในเรื่องอะไร แต่ข้อมูลของ SMPY แสดงให้เห็นว่า SAT ยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้เราได้เห็นถึงสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจและระดับการปฏิบัติที่ได้รับ
Camilla Benbow หนึ่งในนักวิจัย SMPY กล่าวว่าการทดสอบเหล่านี้ใช้ดีที่สุดในการที่จะรู้ว่า พื้นฐานแล้วเด็กคนนี้พิเศษหรือไม่เพื่อให้ครูสามารถมุ่งความสนใจไปยังส่วนอื่นๆได้
6.บางครั้งสัญญานของความอัจฉริยะก็ไม่แสดงผล
นักจิตวิทยา Carol Dweck ได้พบว่าคนที่ประสบความสำเร็จมักจะมีสิ่งที่เรียกว่า “การเติบโตทางความคิด” ที่ตรงข้ามกับ “ความคิดที่คงที่” พวกเขามองตัวเองว่าเป็นของเหลวสามารถเปลี่ยนแปลงความสามารถให้ปรับตัวและเติบโตได้ตามสภาพแวดล้อม และแน่นอนว่า มันไม่คงที่
SMPY เห็นด้วยสิ่งที่กล่าวมา แต่ก็พบว่าสิ่งที่จะบอกได้ว่าเด็กคนนั้นมีพรสวรรค์หรือเปล่า บางครั้งอาจจะส่งสัญญานออกมาหรือเก็บเงียบไปตลอดก็ได้
ดังนั้น พ่อแม่หรือคุณครูจึงควรสังเกตและใส่ใจเพื่อให้พวกเขาพัฒนาไปอย่างถูกต้องเต็มความสามารถเท่าที่จะทำได้
ที่มา :www.businessinsider.com