สำหรับวันนี้ ScholarShip.in.th ก็มีเกร็ดความรู้เรื่องราวดีๆ จากประวัติศาสตร์มาฝากกัน เกี่ยวกับ อารยธรรมเก่าแก่ของโลก ที่เก่งฉกาจยิ่งนักในด้านการทำสงครามล่ะ!!!
และนี่คือ 5 อารยธรรมโบราณที่โหดร้ายน่าสะพรึงกลัวที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เราลองมาชมกันเลยดีกว่า
เคลท์ (The Celts)
เนื่องจากชนกลุ่มนี้มักจะมีปัญหากับชาวโรมันอยู่เสมอๆ ในประวัติศาสตร์ได้ทำการบันทึกไว้ว่า หากชนกลุ่มนี้รบชนะคู่ต่อสู้แล้วก็จะทำการตัดหัวของคู่ต่อสู้มาทำการประดับ บ้าน ทั้งในและนอกบ้าน เรียกกันว่าเข้าไปชนกลุ่มนี้เมื่อไหร่ ได้เห็นหัวคนห้อยระโยงรยางค์เต็มไปหมด ยิ่งบ้านไหนมีมากแสดงว่าเป็นบ้านของนักรบที่เก่งกาจ แถมชาวเผ่านี้ยังขึ้นชื่อเรื่องบ้าดีเดือด ถืออาวุธขนาดใหญ่เข้าฟาดฟันกับศัตรูที่มารุกรานเป็นประจำ นอกจากการรบแล้วยังขึ้นชื่อเรื่องช่างฝีมือด้วยนะ
ชาวแอซแทค (The Aztecs)
นี่แหละโหดของจริง จากการบันทึกทางประวัติศาสตร์ทำให้เราได้ทราบว่าวิธีกำจัดศัตรูของชาวแอซแทค ว่าหฤโหดเกินจินตนาการแค่ไหน โดยวิธีการของเขาก็คือจะนำเอาศัตรูมาอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายก่อน จากนั้นก็จะนำเสื้อคลุมของเทพดวงอาทิตย์มาใส่ให้จากนั้นก็นำขึ้นไปบนหอคอย สูงประมาณสัก 30 เมตร แล้วจากนั้นก็จะให้นักบวชชาวแอซแทคจับแขนขาไว้คนละข้างทำการยึดเอาไว้ จากนั้นก็จะมีนักบวชอีกคนค่อยๆ ใช้หินมีดผ่าเปิดหน้าอกช้าๆ (ศัตรูคงร้องและดิ้นร้นน่าดูเลย)
จากนั้นจึงดึงหัวใจที่กำลังเต้นออกมาแล้วทำการชูไปที่ดวงอาทิตย์ แล้วก็ถีบศพทิ้งมาลงตามบันได้ ให้คนควักเอาตับ ไต ไส้พุง รวมถึงอวัยวะต่างๆ กินกันดิบๆ อย่างนั้นเลย บางครั้งพวกนักบวชจะถลกหนังเหยื่อและนำมาคลุมร่างไว้ราวๆ 20 วันโดยไม่อาบน้ำเลย แถมยังเคยบูชายันตร์กว่า 84,000 คนภายใน 4 วันหลังจากที่ปิระมิดในเมืองหลวงสร้างเสร็จอีกด้วย!!! ถ้าอยากเห็นภาพให้ดูหนังเรื่อง Apocalypse นะจ๊ะ ><
ชาวอัสซีเรียน (Assyrians)
ชนกลุ่มนี้มีอารยธรรมอยู่ประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตกาล มีถิ่นฐานอยู่ในดินแดนทางตอนเหนือของเมโสโปเตเมีย แถบลุ่มแม่น้ำไทกรีส มีความเจริญสูงสุดในช่วง 745-626 B.C.
เหล่านักรบของอัสซีเรียน ได้ชือว่ามีความสามารถในการรบอย่างน่ากลัวที่สุด โดยในการรบจะใช้กองทัพธนูเหล็กเป็นทัพหน้าตามด้วยกองพันทหารม้าและรถศึก
นอกจากนี้พวกเขายังมีอาวุธที่สุดมหัศจรรย์นั่นก็คือ เหล็ก (พวกอื่นยังใช้ทองแดงกับสำริดอยู่) ดังนั้นเมื่อปะทะอาวุธกัน จึงไม่ต้องคิดเลยว่าใครจะได้เปรียบ หลังจากการรบแล้วจะทำการเผา และทำการกวาดต้อนเชลยมารวมกันทำการสังหารหมู่ และนำหัวมาแขวนไว้ข่มขวัญศัตรู!!!
ชาวสปาตัน (The Spartans)
จำภาพยนตร์เรื่อง 300 This is Sparta!!! กันได้มั้ยจ๊ะ!!? นั่นละคือชนเผ่านี้ แต่ในความจริงแล้ว ชนเผ่านี้นะ โหดกว่าที่ในภาพยนตร์แสดงเยอะเลย ฉากที่โยนเด็กทารกจากหน้าผานะ ในประวัติศาสตร์นะมีจริงนะครับ
พวกเขาจะกำจัดเด็กที่บกพร่องทางร่างกาย (รูปร่างผิดปรกติและพิกลพิการ) ด้วยการโยนจากหน้าผา พวกที่อยู่นั้นพออายุ 7 ปี เด็กผู้ชายก็จะถูกพรากไปจากพ่อและแม่ ไปทำการฝึกเป็นนักรบ และทำการเคี่ยวโดยการให้รบกันเองจนได้เฉพาะแต่สุดยอดนักรบ
ชาวมองโกล (Mongols)
กล่าวได้ว่าหากเจงกิสข่านไม่ตายซะก่อนมีหวังโลกทั้งโลกได้อยู่ในเงื้อมมือของชนกลุ่มนี้แน่ๆ นักรบกลุ่มนี้โหดแค่ไหน ดูจากชื่อเรียกที่ชาวยุโรปเรียกเอาก็แล้วกันครับ Tartar ซึ่งแปลว่าผู้มาจากทาทารัส ซึ่งไอ้เจ้าทาทารัสนี่คือนรกที่ลึกที่สุดในตำนานของกรีกเลยทีเดียว!!!
คำนวณกันว่าระหว่างที่ชาวมองโกลเผยแพร่อิทธพลอยู่นั้นมีคนเสียชีวิตไปไม่ต่ำ กว่า 30 ล้านคน และทำให้ภายให้เวลาเพียง 50 ปี ประชาชนในประเทศจีนลดลงไปครึ่งหนึงทีเดียว (ภาษาชาวบ้านเรียกว่าตายกันแหลกราญ) สาเหตุที่คนตายกันแบบวินาศเช่นนี้เพราะชาวมองโกลมักจะทำการฆ่าแบบล้างเผ่า พันธุ์สำหรับชนเผ่าที่ไม่ยอมจำนน เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับศัตรู
ในปี ค.ศ. 1346 กองทัพมองโกลเข้าโจมตีเมือง แคฟฟา ของอิตาลี กองทัพของมองโกลไม่สามารถตีเข้าเมืองได้ และในจังหวะนั้นได้เกิดมีกาฬโรคขึ้นในกองทัพมองโกล ไม่รุ้ไปได้แนวคิดสุดโหดมาจากไหน ขณะที่ทหารกำลังตายเป็นใบไม้ร่วง แทนที่จะนำศพไปฝังหรือเผา กับนำเอาศพเหล่านั้นแทนก้อนหินใส่เครื่องยิงเข้าไปในเมืองแคฟฟาทำให้คนใน เมืองแตกตื่นจนขวัญหนีเมื่อเป็นศพที่ถูกยิงเข้ามา และแน่นอนโรคนี้ก็เข้าไประบาดในเมือง จนคนล้มตายเป็นจำนวนมาก นี่อาจจะเป็นการใช้อาวุธเชื้อโรคครั้งแรกที่มีการบันทึกก็ได้
แต่ความโหดของกองทัพนี้ยังไม่ได้หยุดแค่นี้ หลังจากตีเมืองแคฟฟาได้แล้วก็ลุยต่อไปข้างหน้าเพื่อโจมตีเกาะชิชิลี และยุโรปตะวันออก โดยใช้วิธีเดียวกันนี้ เล่นเอาในการรบคราวนี้มีคนล้มตายเพราะอาวุธเชื้อโรคชนิดนี้ไปน่าจะไม่ต่ำ กว่า 25 ล้านคน!!! ซึ่งท้ายที่สุดแล้วอาณาจักรมองโกลก็เริ่มเสื่อมถอย คาดว่าน่าจะเกิดจากการยกทัพเรือไปยึดญี่ปุ่น ช่วงการปกครองของตระกูลโชกุนโฮโจ ที่ทัพเรือมองโกลโดนพายุกระหน่ำจนเสียหายจมไปทั้งหมดนั่นเอง ทำให้อาณาจักรเสียหายอย่างหนักหน่วง
ที่มา: Postjung