ในอดีตของยุคก่อนๆ นั้น ผู้ที่ร่ำรวยด้วยทรัพย์สินก็เรียกได้ว่ามีความอันตรายและความเสี่ยงสูงเลยทีเดียว ทำให้พวกเขาต้องนำสมบัติไปฝังหรือซ่อนไว้ที่ต่างๆ เพื่อความปลอดภัย และแน่นอนต้องมีการตั้งปริศนาที่ตั้งเอาไว้เผื่อกันตัวเองลืมด้วย
และนี่คือหนึ่งในเหตุผลในการเกิดขุมทรัพย์ลึกลับนั่นเอง วันนี้ ScholarShip.in.th ขอพาเพื่อนๆ ไปพบกับ 5 ขุมทรัพย์สุดล้ำค่าในตำนาน ที่ได้หายสาบสูญไปจากประวัติศาสตร์ ลองมาชมกันเลยว่ามีอะไรบ้าง
สมบัติของอัศวิน Templar
จุดเริ่มต้นของอัศวิน Templar มาจากเรื่องราวของกลุ่มอัศวินกลุ่มเล็กๆที่คอยปกป้องนักบวชจากพวกมุสลิม เหล่าอัศวินได้รับความนิยมชมชอบและเคารพนับถือมาก จึงมีนักบุญจำนวนมากนำทรัพย์สมบัติ ของกำนัล มาบริจาคให้มากมาย ไม่นานนักกลุ่มอัศวินก็มีอำนาจและความมั่งคั่ง มีทั้งที่ดินและเงินทองมหาศาล นอกจากนี้พวกเขาเปรียบเสมือนนายธนาคารที่คอยให้คนนำมาเงินมาฝาก ถอน กู้ เพราะคนกลัวว่าถ้าพกเงินเดินมันจะไม่ปลอดภัย
จนเมื่อมีกษัตริย์ฝรั่งเศส พระเจ้าฟิลิปที่ 4 มาติดหนี้เงินพวกอัศวิน Templar พระองค์ก็เลยตัดสินใจบีบบังคับให้พระสันตะปะปาโยนความผิดให้กับ อัศวิน Templar เหล่าอัศวินจำนวนมาก ถูกกวาดล้าง จนเป็นจุดจบของเรื่องราว อัศวิน Templar แต่ที่น่าฉงนคือ สมบัติมหาศาลหายไปไหน!! บ้างก็สันนิษฐานว่า พวกอัศวินรู้ตัวก่อนเลยนำสมบัติไปซ่อน ที่เกาะ Oak Island โดยสร้างเป็นหลุมกับดักเก็บสมบัติไว้ในนั้น
สมบัติของเรือ Flor de la Mar
เรือ Flor de la Mar หรือที่เรียกว่า ดอกไม้แห่งท้องทะเล กัปตันของเรือ คือ Alfonso de Albuquerque เรือลำนี้ถูกต่อขึ้นในลิสบอนเมื่อปี 1502 และเรือ Frol de la Mar ลำนี้นี่เองที่ขนสมบัติจำนวนมหาศาลจากมะละกา เพื่อจะแล่นไปที่โปรตุเกส สมบัติที่บรรจุไว้ใต้ท้องเรือนั้น เป็นสมบัติของสุลต่านแห่งมะละกา คาดว่า มี ทองหนัก 60 ตัน มีหีบ เพชร มรกต ทับทิม อีกประมาณ 200 หีบ
แต่ระหว่างทางได้เจอกับพายุซัดกระหน่ำ จนในวันที่ 20 พฤศจิกายน 1511 เรือลำนำนี้ได้จมเพราะชนแนวหินโสโครก ที่เกาะสุมาตรา ถึงแม้ว่ากัปตันจะรอดแต่สมบัติมหาศาลกลับโดนคลื่นซัดหายจมอยู่ใต้ท้องทะเล และปัจจุบันก็ไม่อาจรู้ได้ว่ามันจมอยู่ส่วนไหน
เงินค่าไถ่ของ DB Cooper
ในปี 1971 เกิดเหตุการณ์เรียกค่าไถ่ โดยผู้ชายคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า Dan Cooper เขาซื้อตั๋วในราคา 20 ดอลลาร์ซึ่งราคานี้รวมภาษีทุกอย่างแล้ว ไฟลท์ที่เขาบินคือ Portland ไป Seattle เขาขึ้นไปบนเครื่องบินขู่ว่าในกระเป๋ามีระเบิดอยู่ และสิ่งที่เค้าเรียกร้องคือ เงิน 200,000 ดอลลาร์ (ราว 6,600,000 บาท–ในสมัยนั้นค่าเงินน่าจะแพงกว่านี้มากและนี่เป็นเพียงเลขประมาณการ) พร้อมกับ ร่มชูชีพ หลังจากเขาได้สิ่งที่เขาต้องการแล้ว เขาสั่งให้เครื่องบินนำเขาไปส่งที่เม็กซิโก ระหว่างที่เครื่องบินบินนั้นเขาก็ได้ใช้ร่มชูชีพบางส่วนผูกกระเป๋าเงินเอาไว้
หลังจากนั้นเขาก็กระโดดร่มลงมา บัดนี้ยังไม่มีใครหลักฐานปรากฏแน่ชัดว่าเขารอดชีวิตจาการกระโดดครั้งนั้นหรือเปล่า แต่เจ้าหน้าที่หลายคนคาดว่าเขาไม่น่ารอด แต่ที่น่าแปลกใจคือ พบเงิน 5,800 ดอลลาร์ (ราว 194,500 บาท)ที่ Cooper เรียกค่าไถ่มา จนตอนนี้เงินที่เหลือของ Cooper ขุมทรัพย์นี้อยู่ที่ไหนยังไม่มีใครทราบ
สร้อยคอ The Patiala Necklace
The Patiala Necklace เป็นสร้อยที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์อินเดีย มหาราชา Sir Bhupinder Singh of Patiala ได้ให้บริษัท Cartier ทำสร้อยคอให้เหมาะสมกับฐานะพระราชา ว่ากันว่า สร้อยคอเส้นนี้ ทำมาจากเพชร DeBeers หนึ่งในเจ็ดเพชรที่ใหญ่ที่สุดในโลก และตรงโซ่ ยังมีเพชรอื่นๆมาประดับอีก 2,930 ชิ้น รวมทั้งสิ้น 962.25 กะรัต
สร้อยคอเส้นนี้สูญหายอย่างลึกลับหลังจาก Yadavindra Singh ผู้เป็นบุตรชายได้สวมใส่ เมื่อปี 1948 หลังจากนั้นครึ่งศตวรรษ สร้อยเส้นนี้ถูกพบ แต่เพชรจำนวนมากหายไปรวมถึงเพชร DeBeers ด้วย สร้อยเส้นนี้มีมูลค่า 25,000,000 ดอลลาร์ (ราว 837,100,000 บาท)
นครที่สูญหาย Paititi
เขาว่ากันว่าผู้สร้าง นคร Paititi คือ ชาว อินคา ในภาษา Quechua เมืองที่แห่งนี้แปลว่า “Home of the Jaguar Father” ใน ศตวรรษที่ 17 มีคนพบเอกสารที่บรรยายเมืองแห่งนี้ กล่าวไว้ว่า “ราชาของเมืองนี้มีอำนาจมาก อาณาจักรของเขาเต็มไปด้วยความมั่งคั่ง มีทั้งทอง เงิน ไข่มุก แม้แต่หม้อหรือกระทะยังทำมาจากเหล็กเลย” 100 ปีให้หลัง
เมื่อข่าวลือเรื่องเมืองนี้กระจายออกไปก็มีเหล่าคณะสำรวจหลายชาติพยายามหาเมืองที่หลับใหลนี้ มีเหล่านักสำรวจชาวฝรั่งเศสและอเมริกาออกเดินทางสำรวจเมื่อปี 1971 แต่ไม่เคยกลับมา ในปี 2001 ในเอกสารของ Father Lopez มีทฤษฎีที่กล่าวว่า พวกวาติกันรู้ว่าเมือง Paititi อยู่ที่ไหน แต่ไม่อาจจะบอกได้เพราะเหตุผลบางอย่าง การสำรวจยังมีต่อเนื่องเรื่อยมาเพราะเชื่อว่าซักวันจะหาเมืองๆนี้เจอ
และนี่ก็คือเหล่าสมบัติที่สาบสูญในอดีต ไม่แน่นะมันก็ยังคงกำลังนอนรอ ให้ใครมาค้นพบมันอยู่…ก็เป็นได้
Source: Flagfrog