ความเครียดที่สะสม ก่อตัวอยู่ในคนทุกช่วงวัยในโลกปัจจุบัน ไม่ว่าจะตั้งแต่เด็กเล็ก เด็กโต วัยรุ่น วัยเรียน วัยทำงาน ไปจนถึงวัยเกษียณ และหนึ่งในสิ่งที่ตามมาจากภาวะเกรียดและกดดันเหล่านี้ คืออาการปวดหัว ที่หากปล่อยไว้อาจกลายเป็นการปวดเรื้อรังรักษาได้ยาก
แต่จะให้ไปหาหมอซะทุกครั้งที่ปวดก็ดูจะเป็นภาระทางการเงินที่หนักหน่วงไปหน่อย วันนี้ เราจึงมีบทความที่จะแนะนำส่วนประกอบจากธรรมชาติ ซึ่งสามารถหาได้ง่ายๆ รอบตัวคุณ ซึ่งมีคุณสมบัติให้การช่วยเยียวยาอาการปวดหัวให้ดีขึ้น ลองมาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง
1. ใช้โหระพาและน้ำมันโรสแมรี่สำหรับการนวดศีรษะ
เพื่อบรรเทาอาการปวดให้ปฏิบัติตามดังนี้:
– หยดน้ำมันหอมระเหยโหระพาหรือโรสแมรี่ หนึ่งหรือสองหยดบริเวณขมับและหน้าผาก
– นวดเบาๆ ให้ตัวยาเข้าสู่ผิว
– นั่งเงียบๆ สักครู่ เพื่อให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย และให้สารตามธรรมชาติเหล่านี้ทำงาน
ในการศึกษาปี 2010 นักวิจัยค้นพบว่าน้ำมันโหระพาและโรสแมรี่ มีส่วนประกอบของ carvacrol ซึ่งเป็นสารที่ทำหน้าที่เป็นตัวยับยั้ง COX-II เหมือนกับยาต้านการอักเสบ nonsteroidal เช่น ibuprofen
2. ใช้แมกนีเซียม
นักวิจัยด้านการปวดหัวพบว่า หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการไมเกรน เนื่องจากร่างกายเข้าสู่ภาวะขาดแมกนีเซียม ทำให้มันส่งสัญญาณออกมาเป็นการปวดหัว ดังนั้น จึงมีคำแนะนำให้กินแมกนีเซียมวันละ 400 มิลลิกรัมต่อวัน ทั้งจากอาหารเสริม หรืออาหารที่มีเเมกนีเซียมสูง เช่น เมล็ดฟักอง ปลาเเมคเคอเรล หรือดาร์กช็อกโกแลต
3. เพิ่มวิตามิน B2
ในการศึกษาหนึ่งพบว่าร้อยละ 59 ของกลุ่มตัวอย่าง ลดความถี่ของการเป็นไมเกรนลงครึ่งหนึ่งหลังจากรับประทานวิตามินนี้ในปริมาณ 400 มิลลิกรัมต่อวันเป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งวิตามิน B2 สามารถพบได้มากในอัลมอนด์ เมล็ดงา ปลาบางชนิด และชีสแข็งบางประเภท
4. ลองดื่มชารากขิง
วิธีปรุงชารากขิง
– นำน้ำไปต้ม
– ปอกเปลือกและหั่นขิงขนาดสามในสี่ส่วน
– ใส่ขิงในน้ำ 2 ถ้วย
– ปิดฝารอเป็นเวลา 30 นาที
– เมื่อเย็นพอแล้ว สามารถดื่มเปล่าๆ หรือจะเพิ่มมะนาวฝานก็ได้เช่นเดียวกัน
ขิงสามารถช่วยบรรเทาอาการไมเกรนได้ ด้วยการยับยั้งการสังเคราะห์ prostaglandin ผู้เชี่ยวชาญกล่าว ขิงยังช่วยระงับอาการคลื่นไส้ที่มักเกิดกับไมเกรนด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้ขิงเพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพได้อีกมากมาย
5. ดื่มชาดอกคาโมไมล์
ชาคาโมมายล์มีสารประกอบที่ช่วยบรรเทาอาการปวดและผ่อนคลาย คุณสามารถใช้วิธีนี้ในการชงดื่มเพื่อสุขภาพได้
– นำน้ำไปต้ม 1 ถ้วย
– ใส่ชาดอกคาโมไมล์ 1 ถุงลงไป
– ปิดฝาหม้อไว้
– แช่ถุงชาไว้ประมาณ 10 นาที หากต้องการเพิ่มความหวานให้ใส่น้ำผึ้งลงไป การจิบชาร้อนๆ ในที่เงียบๆ จะช่วยให้จิตใจได้รับความผ่อนคลายลง
6. แช่เท้าด้วยน้ำมันสะระแหน่และน้ำมันลาเวนเดอร์
แพทย์ที่ทำการรักษาด้วยวิธีบำบัดจากธรรมชาติหลายคนเชื่อว่าการแช่เท้าเป็นการบำบัดอาการปวดศีรษะตามธรรมชาติที่ได้ผลมากที่สุด วิธีการก็คือ เทน้ำอุ่นลงไปในภาชนะ เติมนำมันสะระแหน่และ / หรือน้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์ลงไปในน้ำสักสองสามหยด
กลิ่นของไอระเหยจะช่วยบรรเทาทั้งยังให้ความรู้สึกผ่อนคลาย นอกจากนี้ ความร้อนของน้ำจะช่วยขับให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
7. ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้ว
การดื่มน้ำอาจเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับการรักษาอาการปวดหัว เนื่องจากบางครั้ง การขาดน้ำนำไปสู่การสูญเสียน้ำในสมอง และเกิดปฏิกิริยาที่ตอบสนองในรูปแบบของการกระตุ้นตัวรับความเจ็บปวด ดังนั้น การดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันจึงเป็นเรื่องจำเป็น
8. ใช้แผ่นประคบเย็น
เช่นเดียวกับการใช้น้ำแข็งประคบกล้ามเนื้อที่ได้รับบาดเจ็บ แผ่นประคบเย็นสามารถช่วยชะลอการอักเสบของเส้นประสาทและลดการไหลเวียนของเส้นเลือก ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้
9. จิบกาแฟสักถ้วย
คาเฟอีนอาจเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาอาการปวดหัวแบบบ้านๆ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากในคาเฟอีน มีคุณสมบัติที่เรียกว่า ‘vasoconstrictive’ ซึ่งช่วยในเรื่องของการไหลเวียนของเลือดได้
10. กินอาหารที่มีส่วนผสมของกระเทียมและหัวหอม
ทั้งกระเทียมและหัวหอมอาจเป็นอาหารที่หลายคนไม่ชอบ เนื่องจากกลิ่นของมัน แต่มันเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับการลดขั้นตอนการแข็งตัวของเกล็ดเลือดและช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้อย่างเห็นผล
11. กินสับปะรด
ไม่เพียงแค่อร่อย แต่สับปะรดยังมีสรรพคุณเป็นยาแก้ปวดหัวได้ด้วย เนื่องจากมันมีเอนไซม์โปรตีนธรรมชาติที่เรียกว่าโบรมีเลนซึ่งมีคุณสมบัติในการบรรเทาอาการปวดและต้านการอักเสบ
12. กินแตงกวา
เนื่องจากแตงกวานั้นมีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 96 เปอร์เซ็นต์จึงเป็นอาหารว่างที่เหมาะสำหรับบรรเทาอาการปวดหัวที่เกิดจากการขาดน้ำ
เห็นไหมว่าในครัวที่บ้านเรานั้น มีวัตถุดิบและอาหารหลายชนิดที่ใช้กินแทนยาได้ นอกจากนี้ คุณยังสามารถมองหาวัตถุดิบตามธรรมชาติเหล่านี้ได้อย่างง่ายดายตามร้านสะดวกซื้อหรือตลาด
การดูแลสุขภาพไม่จำเป็นต้องพึ่งยาเพียงอย่างเดียว แต่สามารถดูแลได้ตั้งแต่ของที่เลือกกินและกิจวัตรประจำวันที่คุณเลือกดำเนินไปได้เลยล่ะ :)
ที่มา: rd.com