โรค Dyslexia หรือโรคบกพร่องทางการอ่าน ผู้ป่วยมักมีอาการสะกดคำติดขัดผสมคำไม่ได้ จัดเป็นความผิดปกติเฉพาะด้านการเรียนรู้ (Learning Disorder) มีสาเหตุจากความผิดปกติของการทำงานที่เซลล์สมองซีกซ้าย
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สัดส่วนของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักรที่ป่วยเป็นโรคนี้ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันคิดเป็นอัตราส่วน 5% ของจำนวนประชากรทั้งหมด
ปัญหาที่ตามมาคือ ผู้ป่วยโรคนี้มักได้รับการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ไม่สามารถดึงศักยภาพที่มีออกมาใช้ในการศึกษาได้
The Guardian รายงานว่า มหาวิทยาลัยต่างๆ ในสหราชอาณาจักรจึงได้หารือเพื่อหานโยบายช่วยแก้ไขปัญหานี้ให้กับนักศึกษา
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในหมู่นักเรียนมาจากทัศนคติที่ล้าสมัยในหมู่คณาจารย์และบุคลากรในสถาบัน (นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่ง)
บางคนที่ไม่สามารถเข้าใจโรคนี้ได้อย่างถ่องแท้ ทำให้แทนที่จะปรับการสอนให้เข้ากับนักเรียน พวกเขาเลือกที่จะเพิ่มงาน หรือเนื้อหาเพื่อให้นักเรียนได้รับภาระที่เพิ่มมากขึ้น โดยคิดว่าวิธีเหล่านี้อาจช่วยให้เด็กๆ ที่ป่วยเป็น Dyslexia สามารถเรียนตามเพื่อนได้ทัน
การลดปัญหานี้ มหาวิทยาลัยส่วนมากเลือกใช้วิธีปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอน ตั้งแต่การเพิ่มสื่อ ไปจนถึงการทำความเข้าใจกับบุคลากรเพื่อให้พวกเขาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติการดูแลนักเรียน
Christopher Byrne อาจารย์ผู้บรรยายในวิชาการเมืองและการปกครองกล่าวอธิบายว่า
“เนื่องจาก Dyslexia เป็นโรคที่มีความไม่มั่นคง และไม่สามารถระบุได้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งหนึ่งที่พวกเราทำได้ คือการส่งเสริมอย่างถูกต้อง มอบพื้นที่การเรียนรู้ที่เหมาะสม และให้เวลาเพื่อลดช่องว่างระหว่างนักเรียนทั่วไปและนักเรียนที่ป่วยเป็นโรคนี้ให้สามารถเรียนรู้ร่วมกันได้อย่างมีคุณภาพ”
ปัจจุบัน Dyslexia ยังเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยา และมีเด็กๆ จำนวนมากที่ต้องประสบปัญหาในการเรียนเนื่องจากยังขาดผู้ที่เข้าในใจโรคนี้ ทำให้หลายหน่วยงานเริ่มมองหาวิธีแก้ไข เพื่อให้เด็กๆ สามารถเรียนรู้ได้อย่างมีความสุข ตั้งแต่เด็กเล็กๆ ไปจนถึงนักศึกษามหาวิทยาลัย
ที่มา: masterstudies