ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ราชวงศ์ของญี่ปุ่นเป็นที่สนใจและถูกจับตามองจากสื่อต่างๆ นับตั้งแต่การสละราชสมบัติของจักรพรรดิ Akihito การสละสถานะเชื้อพระวงศ์ของเจ้าหญิง Ayako เพื่อสมรสกับสามัญชน และขณะนี้ มีข่าวของหลานสาวของจักรพรรดิ Akihito เจ้าหญิง Kako ผู้พึ่งกลับมายังแดนอาทิตย์อุทัยหลังเสด็จไปเรียนเรียนมหาวิทยาลัย Leeds ในสหราชอาณาจักรเป็นเวลาเก้าเดือน
เห็นได้ชัดว่าราชวงศ์ญี่ปุ่นได้สร้างความสนใจในวงกว้าง ไม่เว้นแม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีน เป็นผลให้ผู้ผลิตผ้าอ้อมในเมือง Quanzhou จังหวัด Fujian ได้ตัดสินใจที่ขอซื้อลิขสิทธิ์เครื่องหมายการค้า “Princess” และ “Princess Kako” โดยไม่บอกความจริงที่ว่า มันเป็นสินค้าที่เอาไว้ใช้รองรับปัสสาวะ
เป็นเรื่องที่รู้กันโดยทั่วไปว่า การนำเอาสัญลักษณ์สูงสุดอย่างเชื้อพระวงศ์ในต่างประเทศมาเป็นเครื่องหมายการค้าสำหรับสิ่งของที่คนทั่วไปมองว่าสกปรก เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ และการกระทำนี้ ก็ทำให้ชาวเน็ตญี่ปุ่นไม่พอใจอย่างมาก
ชาวเน็ตบางส่วนให้ความเห็นว่า
“นี่เป็นเรื่องที่แย่มาก“
“สงครามมันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอะไรแบบนี้หรอกเหรอ?“
“นี่เป็นเรื่องที่ดูถูกเหยียดหยามที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลย“
“กำจัดผ้าอ้อมเด็กแบรนด์นี้ทิ้งกันเถอะ“
“คิดว่าที่ไหนที่พวกเขาจะทำได้กันล่ะ อ้อ ใช่ ประเทศจีนอยู่แล้ว“
“ในประเทศที่เจริญแล้วเรื่องแบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้หรอกนะ“
ไม่มีเหตุผลใดสมควรที่จะให้หญิงสาววัย 23 ปี ที่ไม่มีบุตรมาเป็นสัญลักษณ์ให้กับแบรนด์ผ้าอ้อมเด็ก ดังนั้น News Post Seven ของญี่ปุ่นจึงเป็นตัวแทนถามคำถามที่ทุกคนอยากรู้ไปยังผู้ผลิตว่า “คิดอะไรอยู่กันแน่?”
และนี่คือคำตอบที่ได้รับกลับมา
“เจ้าหญิง Kako เป็นเครื่องหมายการค้าที่เราได้รับ เรากำลังวางแผนที่จะขายผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กที่มีเครื่องหมายการค้านี้ ในเร็วๆ นี้
เด็กๆ เป็นทั้งเจ้าชายและเจ้าหญิงสำหรับพ่อแม่ ดังนั้นเราจึงได้คิดที่จะออกสินค้าภายใต้การลงทะเบียนชื่อว่า ‘Princess’ และ ‘Princess Kako‘
และด้วยความที่ญี่ปุ่นมีภาพลักษณ์ที่ดี เพราะความปลอดภัยและคุณภาพสูง เราจึงเชื่อกันว่าชื่อของเจ้าหญิง Kako เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ของเรา เราไม่ได้มีเจตนาที่จะดูหมิ่นครอบครัวของราชวงศ์ญี่ปุ่น “
เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการตรวจสอบความถูกต้อง เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นก็เคยได้รับปัญหาจากการที่พ่อค้าจากจีนเข้ามากว้านซื้อผ้าอ้อมเด็กให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยเหตุผลทางการค้า
เมื่อพวกเขากลับไปยังบ้านเกิด ผู้ผลิตชาวญี่ปุ่นก็ไม่สามารถติดตามตัวได้ และปัญหาที่เกิดขึ้นก็ถูกพบเมื่อบนชั้นวางสินค้ากลับว่างเปล่า
และหลังจากนั้นเอง ที่ในประเทศจีนได้มีการจัดตั้งร้านขายสินค้าที่ชื่อว่า Meiso (หรือที่รู้จักกันในชื่อ Miniso) ร้านขายสินค้าญี่ปุ่นที่เป็นที่นิยมมาก (แม้ว่าจะไม่มีภาษาญี่ปุ่นอยู่เลยก็ตาม)
เห็นได้ชัดว่า ชื่อเสียงของญี่ปุ่นเพียงอย่างเดียวก็ถือว่าเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสินค้ายอดฮิตอย่างผ้าอ้อมเด็ก
หากมองอย่างเป็นกลาง นี่อาจเป็นเพียงหนึ่งในกรณีของธุรกิจที่ขับเคลื่อนไปโดยมองแต่การแสวงหากำไร แต่ไม่ได้มองภาพรวมถึงผลกระทบที่จะตามมา
อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าทั้งรัฐบาลจีนและญี่ปุุ่นจะสามารถจัดการสถานการณ์นี้ให้จบลงด้วยดีได้ และยังคงมีความสัมพันธ์ทางการทูตที่ดี เพราะเมื่อไม่นานมานี้ พึ่งมีข่าวว่าพี่จีนได้ปืนเลเซอร์แบบใหม่มาด้วยล่ะ (ฮ่า)
ที่มา: soranews24