เครื่องหมายจุลภาค หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่าคอมม่า (,) เป็นอีกหนึ่งเครื่องหมายที่มีประโยชน์ และสามารถดัดแปลงใช้กับประโยคภาษาอังกฤษได้หลากหลายรูปแบบ
แม้จะมีขนาดจิ๋วแต่สามารถใช้เป็นตัวช่วยในประโยคได้อย่างหลากหลาย และบางครั้งก็สามารถปลี่ยนความหมายของประโยคได้ด้วย เชื่อว่าทั้ง 9 ข้อด้านล่างนี้จะเป็นคำแนะนำสำหรับการใช้เครื่องหมายคอมม่าให้ถูกต้องมากขึ้น
#1 ใช้คอมม่าเพื่อแยกระหว่าง independent clauses กับคำสันธานทั้ง 7 ได้แก่ and, but, for, or, nor, so, yet
– The game was over, but the crowd refused to leave.
– The student explained her question, yet the instructor still didn’t seem to understand.
– Yesterday was her brother’s birthday, so she took him out to dinner.
#2 ใช้คอมมาหลังคำทั่วไป, หลังอนุประโยค, หลังวลี หรือหลังคำที่มาก่อนประโยคหลัก
a. คำทั่วไปสำหรับ introductory clauses ที่จะใช้คอมมาตามหลัง ได้แก่ after, although, as, because, if, since, when และ while
– While I was eating, the cat scratched at the door.
– Because her alarm clock was broken, she was late for class.
– If you are ill, you ought to see a doctor.
– When the snow stops falling, we’ll shovel the driveway.
อย่างไรก็ตาม อย่าใส่เครื่องหมายคอมม่าหลังประโยคหลัก ในกรณีที่เขียนประโยครองตาม ดังนี้
ตัวอย่างที่ผิด: The cat scratched at the door, while I was eating.
ตัวอย่างที่ถูก: She was still quite upset, although she had won the Oscar.
b. วลีทั่วไปที่ควรตามด้วยคอมม่า ได้แก่ participial และ infinitive phrases, absolute phrases, nonessential appositive phrases และ long prepositional phrases (มากกว่า 4 คำ ขึ้นไป)
– Having finished the test, he left the room.
– To get a seat, you’d better come early.
– After the test but before lunch, I went jogging.
– The sun radiating intense heat, we sought shelter in the cafe.
c. คำทั่วไปที่ควรใช้คอมมาตามหลัง ได้แก่ yes, however หรือ well เป็นต้น
– Well, perhaps he meant no harm.
– Yes, the package should arrive tomorrow morning.
– However, you may not be satisfied with the results.
#3 ใช้คอมม่าสองตัวเพื่อแบ่งวรรคประโยครอง, วลี หรือคำที่ไม่ใช่เนื้อหาหลักของประโยค โดยใช้เครื่องหมายคอมม่าตัวแรกเพื่อแสดงถึงจุดเริ่มต้น และใช้ตัวสุดท้ายปิดเพื่อระบุจุดสิ้นสุด
ด้านล่างคือเคล็ดลับที่ควรรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ควรใช้คอมม่าเป็นคู่ ดังนี้
– พิจารณาว่าเมื่อละประโยค, วลี หรือคำใดๆ ไว้แล้วประโยคนั้นยังสมเหตุสมผลอยู่หรือไม่?
– พิจารณาว่าประโยค, วลี หรือคำนั้นๆ ทำให้ประโยคไม่ไหลลื่นหรือไม่?
– หากย้ายองค์ประกอบไปยังตำแหน่งอื่นในประโยค ประโยคนั้นยังสมเหตุสมผลอยู่หรือไม่?
หากคำตอบคือ ‘ใช่’ ในหนึ่งในสามข้อนี้ แสดงว่าประโยค, วลี หรือคำๆ นั้นไม่จำเป็น และควรกำหนดด้วยเครื่องหมายคอมม่า ตัวอย่างเช่น
ประโยค: That Tuesday, which happens to be my birthday, is the only day when I am available to meet.
วลี: This restaurant has an exciting atmosphere. The food, on the other hand, is rather bland.
คำ: I appreciate your hard work. In this case, however, you seem to have over-exerted yourself.
#4 ใช้คอมม่าเพื่อแยกคำ, วลี หรืออนุประโยค ที่เขียนเป็นชุดมากกว่า 3 คำขึ้นไป เช่น
– The Constitution establishes the legislative, executive, and judicial branches of government.
– The candidate promised to lower taxes, protect the environment, reduce crime, and end unemployment.
– The prosecutor argued that the defendant, who was at the scene of the crime, who had a strong revenge motive, and who had access to the murder weapon, was guilty of homicide.
#5 ใช้คอมม่าเพื่อแยกคำคุณศัพท์ (adjectives) ที่มากกว่าสองคำขึ้นไป เมื่อต้องใช้อธิบายคำนามคำเดียวกัน เช่น
– He was a difficult, stubborn child.
– Your cousin has an easy, happy smile.
#6 ใช้คอมม่าเกือบในส่วนท้ายของประโยค เมื่อต้องแยกประโยคที่ความหมายตัดกันหรือแตกต่างกัน เพื่อระบุการหยุดชั่วคราว ดังนี้
– He was merely ignorant, not stupid.
– The chimpanzee seemed reflective, almost human.
You’re one of the senator’s close friends, aren’t you?
– The speaker seemed innocent, even gullible.
#7 ใช้คอมม่ากำหนดชื่อเฉพาะ, รายการวันที่ (ยกเว้นเดือนและวัน), ที่อยู่ (ยกเว้นหมายเลขถนนและชื่อถนน) และตำแหน่ง เช่น
– Birmingham, Alabama, gets its name from Birmingham, England.
– July 22, 1959, was a momentous day in his life. Who lives at 1600 Pennsylvania Avenue, Washington, DC?
– Rachel B. Lake, MD, will be the principal speaker.
#8 ใช้คอมม่าเพื่อเปลี่ยนระหว่างการเล่าเรื่อง และประโยคสนทนา เช่น
– John said without emotion, “I’ll see you tomorrow.”
– “I was able,” she answered, “to complete the assignment.”
– In 1848, Marx wrote, “Workers of the world, unite!”
#9 ใช้คอมม่าเพื่อป้องกันความสับสน หรือการอ่านผิด
– To George, Harrison had been a sort of idol.
เทคนิคเหล่านี้สามารถฝึกฝนใช้ได้ตลอดเลยล่ะ เชื่อว่าอีกไม่นานเทคนิคการเขียนภาษาอังกฤษของทุกคนต้องพัฒนามากขึ้นแน่นอน ^^’
ที่มา: purdue