สำหรับวันนี้เราก็มีเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับมนุษย์นี่แหละจ้า เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ได้ชื่อว่ามีอารมณ์อ่อนไหวที่สุดในโลก เพราะเธอมีจิตใจซับซ้อนสุดๆ โดยมีกว่า 16 บุคลิกด้วยกัน อยู่ในคนๆ เดียว!!!
Shirley Mason ป่วยเป็นโรค Multiple Disorder หรือที่หลายๆคนรู้จักกันในชื่อว่า โรคหลายบุคลิก เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในปี 1970 ในสมัยนั้นทางการแพทย์ยังไม่มีการรองรับด้วยว่าโรคนี้เป็นโรคทางจิตที่ต้องรักษา ทำให้อาการของเธอยิ่งซับซ้อนรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งได้มาพบกับคุณหมอ Wilbur คนที่รักษานางด้วยเซรุ่มเค้นความจริง ระหว่างการรักษาก็ได้มีการบันทึกบทการสนทนานี้เอาไว้ด้วย จากการที่รักษาด้วยการใช้ยาเซรุ่มนี้ไปได้เพียง 10 นาที ก็ทำให้ได้เห็นถึงความประหลาดบางอย่าง เมื่อเธอเริ่มพูดจาแปลกๆ เช่น เธอกำลังอยู่กับผู้หญิงอีกคน!!!
บทสนทนาที่ถูกบันทึกไว้…
หมอ – คุณคุยอยู่กับใคร รู้จักชื่อเค้าไหม?
คนไข้- ไม่ ฉันไม่รู้จักชื่อของเค้า แต่ฉันไม่ได้เห็นเธอมานานมากแล้ว
หมอ- เธอกำลังจะทำอะไรคุณ
คนไข้- เธอคุยกับฉัน
หมอ- คุยเรื่องอะไรกัน
คนไข้- ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย
หมอ- โอเคงั้นเริ่มใหม่ ตัวของเธอชื่ออะไร
คนไข้- ฉันชื่อ Shirley
หมอ- อายุล่ะ
คนไข้- 11 ขวบ
….
หนังสือของเธอ
ถึงตอนสัมภาษณ์เสร็จหมอก็ยังคงสับสนกับอาการและตัวตนของเธอ และนี่ก็เป็นเพียงเทปการสัมภาษณ์แบบคร่าวๆ เพราะแค่นี้หมอก้ได้พบความจริงที่น่าตกใจแล้ว่าเธอมีความซับซ้อนร่วมกันอยู่ถึง 16 นิสัยอยู่ในคนๆเดียวกัน พูดง่ายๆก็คือเหมือนว่าเธอจะคุยกับใครสักคนอยู่ตลอดเวลา แต่เราจะเปลี่ยนและรู้ไม่ทันเลยล่ะว่าเป็นใคร
หมอจึงตั้งข้อสงสัยถึงสาเหตุนี้ไว้ว่าเธอน่าจะมีปัญหาที่ซ่อนอยุ่ในจิตใจอันซับซ้อนเพราะในวัยเด็กเธอถูกแม่กระทำสิ่งอันเลวร้ายใส่มากมาย และจากเรื่องราวของเธอได้ถูกทำออกมาเป็นหนังสือที่ชื่อว่า Sybill ถูกจำหน่ายไปแล้วกว่า 6,000,000 เล่ม
และเพราะเรื่องราวของเธอถูกแพร่หลายออกไปทำให้ โรคบุคลิกซับซ้อน กลายเป็นเรื่องจริงจังที่วงการแพทย์ทั่วโลกต่างก็ให้ความสนใจ และมีคนไข้กล้าที่เข้ารับการรักษาอาการนี้ถึง 1,000 ราย ทุกวันนี้เรื่องราวของ Sybill ยังได้มีการทำเป็นซีรี่ย์ เพื่อยกย่องเธอในฐานะคนไข้ระดับตำนานที่เปลี่ยนแปลงวงการแพทย์ ในด้านการรักษาโรคนี้อีกด้วยล่ะ
คลิปวิดีโอของเธอ
ไม่รู้เหมือนกันเนาะว่าในอดีตเธอได้เจอกับความโหดร้ายอะไรมา ถึงทำให้เธอมีบุคลิกที่แปลกถึง 16 บุคลิกกันเลยทีเดียว แต่ก็นั่นแหละถ้าไม่มีเธอวงการแพทย์ก็คงไม่ถูกจุดประกายและตื่นตัวในเรื่องนี้ขึ้นมาหรอกเนาะ
Source: Teenee