บางที โลกอนาคตที่เคยเห็นในภาพยนตร์อาจมาถึงเร็วกว่าที่เราคาดคิด เมื่อในวันนี้ มีชาวสวีเดนจำนวนหลายพันคน ฝังไมโครชิปขนาดเท่าเมล็ดข้าวไว้ในร่างกายเพื่อลดภาระการพกบัตรต่างๆ เงินสด กุญแจบ้าน หรือแม้กระทั่งตั๋วรถไฟ!!
สำนักข่าวรายใหญ่ของฝรั่งเศส Agence France-Presse ได้รายงานว่า เทคโนโลยีสุดเจ๋งนี้ได้ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ปี 2015 โดยชาวสวีเดนประมาณ 3,000 คนที่ยินยอมให้ทดลองฝังไมโครชิปลงในผิวหนังในช่วงสามปีที่ผ่านมา
เจ้าสิ่งนี้ช่วยให้ชีวิตประจำวันของผู้คนสะดวกสบายมากขึ้น ดังเช่น Ulrika Celsing หญิงสาวชาวสวีเดนวัย 28 ปี หนึ่งในผู้ที่ฝังไมโครชิปนี้ลงในมือเล่าว่า เธอเปลี่ยนจากการพกบัตรต่างๆ รวมทั้งกุญแจ เป็นชิปเล็กๆ ที่เมื่อจะใช้ก็เพียงแค่ยกข้อมือสแกนเท่านั้นเอง
“ความรู้สึกเหมือนโดนมดกัด” นี่คือคำอธิบายความรู้สึกในขณะที่เข้ารับการฝังชิป การเจาะและใช้เข็มฉีดไมโครชิปเข้าไปยังบริเวณข้อมือ ให้ความรู้สึกคล้ายกับเวลาเจาะหู หรือโดนเเมลงกัดต่อย ซึ่งเรื่องนี้ Ulrika Celsing เองก็ยืนยันว่าเธอรู้สึกเจ็บนิดๆ เหมือนโดนมดกัดเท่านั้นเอง
แต่ทั้งนี้ เมื่อมีข้อดีก็อาจจะมีจุดอ่อนอยู่บ้าง Ben Libberton นักชีวเคมีที่ทำงานอยู่ในแล็บทางตอนใต้ของสวีเดนกล่าวว่า บางครั้งการฝังชิปก็อาจทำให้เกิดอาหารติดเชื้อ หรือมีปฏิกิริยาต่อต้านจากร่างกายได้บ้าง แล้วแต่บุคคลเป็นกรณีๆ ไป
ในปัจจุบัน ผู้คนเริ่มให้ความสนใจกับนวัตกรรม Biohacking หรือการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการปรับเปลี่ยนร่างกายมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเมื่อราวๆ 4 ปีก่อน ได้มีกลุ่มชาวสวีเดนที่ใช้ชื่อว่า Bionyfiken ให้ความสนใจใน Biohacking จึงได้จัดตั้งกลุ่มแล้วฝังชิปในร่างกาย และตอนนี้กลุ่มแบบนี้ก็เริ่มเกิดขึ้นในสหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และเม็กซิโก
มีรายงานว่ามีลูกจ้างราวๆ 50 คน ที่ทำงานในบริษัทตู้ขายของอัตโนมัติในรัฐวิสคอนซิน ประเทศสหรัฐฯ อาสาที่จะฝังชิปลงในข้อมือ เพื่อทดลองซื้อขนมจากตู้ เปิดระบบคอมพิวเตอร์ หรือใช้เครื่องถ่ายเอกสาร
แม้ว่าจะดูเหมือนได้รับการตอบรับอย่างดี แต่ก็มีผู้คนบางส่วนที่ยังไม่ยอมรับการฝังชิป เพราะคิดว่ามันไม่ได้ตอบสนองความสะดวกสบายมากขึ้นสักเท่าไหร่ อีกทั้งยังอาจทำให้ง่ายต่อการถูกแฮ็ก หรือถูกตรวจสอบได้ง่ายเกินไป แน่นอนว่าในข้อหลังนี้ ผู้ที่ใช้งานชิปต่างคิดว่า มันคงยังไม่สามารถแฮ็กได้ง่ายดายขนาดนั้น
เมื่อปีที่แล้ว ทางรถไฟสาย SJ ของรัฐ เริ่มใช้การสแกนมือของผู้โดยสารด้วยชิปไบโอเมตริกซ์เพื่อเก็บค่าโดยสารรถไฟขณะเดินทาง และได้รับผลตอบรับเชิงบวกค่อนข้างมาก ไม่แน่ว่าในอนาคต มันอาจถูกพัฒนาจนสามารถนำมาใช้ได้แพร่หลายกว่านี้
ที่มา : businessinsider, catdumb