ในขณะที่พรมแดนด้านภาษากำลังถูกทะลายลงอย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในการสื่อสาร รวมถึงโอกาสเข้าถึงองค์ความรู้ที่มีมากกว่ายุคก่อน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะเห็นเด็กๆ สมัยนี้ สามารถพูดได้หลายภาษาอย่างเชี่ยวชาญ
การเรียนภาษาที่ 2 ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วในยุคปัจจุบัน แถมอาจยกระดับเป็นการเรียนภาษาที่ 3 ตั้งแต่ขั้นพื้นฐานเพื่อต่อยอดสู่อนาคตที่ผู้ได้ภาษาดูเหมือนจะได้เปรียบในระดับสากล ลองมาดูเหตุผลที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ว่า เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
1. เมื่อเรียนภาษาที่ 2 ขึ้นไป การทำงานของสมองจะได้รับการพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพ
มีหลักฐานเพิ่มเติมทางวิชาการที่ชี้ให้เห็นว่า การเรียนรู้ภาษาที่ 2 จะช่วยพัฒนาระดับของศักยภาพของสมองให้ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนหนุ่มสาว การเรียนภาษาเหล่านี้ หากไม่นับโอกาสในการทำงาน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้สามารถทำงานได้เก่งกว่า จากการทดสอบพบว่าคนที่เรียนภาษามากกว่าหนึ่ง จะมีสมาธิและความสนใจได้ดีกว่าคนที่เรียนแค่ภาษาเดียว
2. โอกาสในการทำงานจะสูงขึ้น เมื่อความสามารถของคุณเพิ่มมากขึ้น
ในยุคที่ตลาดแรงงาน มีบุคลากรมากมายให้เลือกสรร การมีคุณสมบัติที่โดดเด่นจะช่วยเพิ่มโอกาสถูกเลือกได้มากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะในยุคที่การสื่อสารถือเป็นเรื่องหลักในสายธุรกิจ และมีคนที่ได้ทักษะด้านภาษาเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น การเรียนรู้ภาษาที่ 3 จึงเป็นข้อได้เปรียบ ที่ในอนาคตอาจกลายเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ทำได้
3. การเรียนภาษาทำให้เข้าใจในวัฒนธรรม และนำมาสู่ความเข้าในใจองค์กรต่างชาติ
ไม่ว่าคุณจะเรียนรู้ภาษาเพื่อการทำงาน หรือเรียนเพื่อแก้เบื่อ แต่การเรียนภาษานำมาซึ่งประโยชน์เสมอ เพราะนอกจากคุณจะมีทักษะที่เป็นที่ต้องการ คุณยังได้รับมุมมองใหม่ๆ ผ่านวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา และทำให้คุณเข้าใจในองค์กรต่างชาติ ซึ่งนั่นอาจสร้างความประทับใจให้กับคู่ค้าของคุณได้ โดยเฉพาะถ้าคุณพูดได้มากกว่า 2 ภาษา มันจะยิ่งน่าประทับใจมากยิ่งขึ้น
ในโลกที่การแข่งขันสูง ปัจจุบัน การเชี่ยวชาญในภาษาที่ 2 อาจกลายเป็นเรื่องธรรมดา และการรู้ภาษาที่ 3 กลายเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง ทว่าในอนาคต เงื่อนไขในการรับสมัครงานอาจปรับเปลี่ยน การมีต้นทุนในด้านนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อาจเป็นการเตรียมตัวที่ดีที่สุดก็เป็นได้ :)
ที่มา: academiccourses