แน่นอนว่าภาษาอังกฤษน่ะ ไม่ได้เป็นภาษาโดยธรรมชาติของเรา จะผิดจะถูกกันบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ แต่ทางที่ดีเราก็ควรมาปรับภาษามันให้ถูกต้องกันนะจ๊ะ ประโยชน์ต่อตัวเราทั้งนั้นเลย
วันนี้เราเลยขอนำเสนอเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับ 15 ข้อผิดพลาดในการใช้ภาษาอังกฤษ ที่คุณควรทราบ แล้วนำมาแก้ไข จะได้เทอร์นโปรกันอย่างเต็มภาคภูมินะจ๊ะ อิอิ มาดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง…
1. Your /You’re
สองคำนี้เวลาออกเสียงจะมีความใกล้เคียงกัน อาจทำให้ความหมายเปลี่ยนไปได้ ซึ่งคำว่า “Your” เป็นคำสรรพนามใช้แสดงความเป็นเจ้าของ เช่น This is your teddy bear. (นี้คือตุ๊กตาหมีของคุณ) Your school is very big. (โรงเรียนของคุณใหญ่จัง) ส่วนคำว่า You’re นั้นเป็นรูปย่อมาจากคำว่า You are ซึ่งมีความหมายว่า “คุณคือ” ทั้งนี้การออกเสียงของสองคำนี้มีความใกล้เคียงกัน แต่เราสังเกตความแตกต่างได้จากบริบทที่เรากำลังสนทนาอยู่ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนได้นั้นเอง
2. It’s / Its
อีกหนึ่งการออกเสียงที่แยกไม่ค่อยออกระหว่าง It’s กับ Its เพราะออกเสียงเหมือนกันเลย ส่วนตัวย่อของ “It’s” นั้นเป็นรูปย่อมาจากคำว่า It is, It was และ It has ส่วนคำว่า “Its” เป็นคำสรรพนามใช้แสดงความเป็นเจ้าของว่าคือของมัน เช่น Since you’re a member of this sports club, you’ll have to conform to its rules. (เนื่องจากคุณเป็นสมาชิกของสปอร์ตคลับแห่งนี้ คุณจะต้องปฏิบัติตามกฏระเบียบด้วย) และเพื่อหลีกเลี่ยงการสับสนระหว่างสองคำนี้ อาจจะพูด It is แทน It’s ไปเลยก็ได้
3. There / Their / They’re
คำว่า There และ Their สองตัวนี้ออกเสียงเหมือนกันอย่างแยกไม่ออก แต่ความหมายต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะคำว่า There นั้นใช้แทนสถานที่ มีความหมายว่า “ที่นั่น” ส่วน Their จะเป็นคำสรรพนามที่ใช้ในการแสดงความเป็นเจ้าของ มีความหมายว่า “ของพวกเขา” เช่น It’s their anniversary next week ส่วนคำว่า They’re คำนี้จะออกเสียงเหมือนกับ There และ Their เลย แต่ถ้าออกเสียงชัดๆ ก็จะแยกออกว่าพูดถึง There/ Their หรือ They’re
ส่วนความหมายนั้นก็คือ พวกเขาเป็น/อยู่/คือ เช่น I wonder who they are (ฉันสงสัยจังว่าพวกเขาเป็นใคร)
4.Affect / Effect
เชื่อว่าสองคำนี้ทำให้ใครหลายคนสับสนอยู่ไม่น้อย อาจใช้ถูกใช้ผิดกันมาบ้าง เพราะทั้งสองคำมีความหมายคล้ายกัน และยังออกเสียงใกล้เคียงกันอีกด้วย เรามาดูความแตกต่างของสองคำนี้กัน คำว่า “Affect” นั้นเป็น Verb มีความหมายว่า “กระทบหรือส่งผลต่อ” เช่น This experiment affects to the way of animal (การทดลองนี้มีผลต่อวิถีชีวิตของสัตว์) ส่วน “Effect” เป็นคำนาม แปลว่า ทำให้เกิดผล เช่น Smoking had a negative effect on his lungs (การสูบบุหรี่มีผลเสียต่อปอดของเขา)
5. Then / Than
ถึงแม้ว่า Then (เด็น) และ Than (แดน) จะออกเสียงต่างกัน แต่ถ้าพูดเร็วๆ ฟังไม่ดี ก็อาจตีความหมายผิดไปหรืออาจจะเขียนผิดไปได้ คำว่า Then นั้นเป็นคำวิเศษณ์หรือที่เรียกว่า Adverb ส่วนความหมายนั้นแปลได้หลายความหมาย อย่างแปลว่า นับแต่นั้นเป็นต้นมาในแง่ของเวลา เช่น I had a serious argue with her, she never talks to me again since then. (ผลทะเลาะกับเธอหนักมาก แล้วเธอก็ไม่คุยกับผมอีกเลยนับแต่นั้นมา) หรือใช้บอกลำดับขั้นตอนก็ได้เช่นกัน To make a cake, put the flour in a bowl then crack an egg.. (ในการทำเค้ก ให้ใส่แป้งลงในชาม จากนั้นตอกไข่ลงไป)
ส่วนคำว่า Than นั้นใช้ในการเปรียบเทียบของสองสิ่งที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน เช่น My mother gets up earlier than I (แม่ของฉันตื่นนอนเร็วกว่าฉันอีก)
6. Loose / Lose
ต่อมาเป็นคำที่ใช้ผิดกันบ่อย เนื่องจากออกเสียงเหมือนกันอย่างกับแกะ แต่ความหมายนี่สิไม่ได้เหมือนกันเลย คำว่า Loose มีความหมายว่า “หลวม” ในขณะที่ Lose มีความหมายว่า “แพ้หรือทำหาย” เช่น If your pants are too loose, you might lose your pants. แปลว่า ถ้าหากกางเกงของคุณมันหลวมเกินไป คุณก็มีสิทธิ์ที่จะทำกางเกงหายไปได้นะจ๊ะ (หลวมจนหลุดนั่นเอง หรือกางเกงหายไปจากสะโพกนั่นเอง)
7. Me / Myself / I
ความหมายของ Me และ I แน่นอนว่าแปลว่า “ฉัน” แต่การใช้แตกต่างกัน เพราะ Me เป็นกรรมของประโยค ส่วน I นั้นใช้เป็นประธาน เช่น I love you and you love me (ฉันรักเธอ และเธอก็รักฉัน) ส่วน Myself เป็นคำสรรพนาม มีความหมายว่า “ตัวฉันเอง” การใช้ก็คือเมื่อพูดถึงการกระทำที่มี ประธาน และ กรรม ของประโยค เป็นคนเดียวกัน เช่น I live by myself (ฉันอาศัยอยู่คนเดียว)
8. เครื่องหมาย Apostrophe “ ‘ ”
ในภาษาอังกฤษจะเรียกเครื่องหมายวรรคตอนนี้ว่า Apostrophe ซึ่งการใช้เครื่องหมายนี้จะเห็นได้บ่อยๆ ในคำย่อต่างๆ เช่น isn’t ย่อมาจาก is not หรือ Don’t ย่อมาจาก do not ส่วนตัวอย่างการใช้เครื่องหมายวรรคตอนนี้ก็มีทั้งใช้เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ หรือ ‘s เช่น My uncle’s house is at the corner. (บ้านของลุงของฉันอยู่ตรงมุมนั้น)
9. Could of / Would of / Should of
ความจริงแล้วคำว่า could’ve , would’ve และ should’ve เป็นคำย่อมาจาก could have, would have และ should have แต่เมื่อใช้เป็นภาษาพูดแล้ว ฟังออกมาเสียงดันไปคล้ายกันคำว่า Could of ,Would of และ Should of ซึ่งไม่มีใครใช้กัน และไม่มีความหมาย ดังนั้นเวลาที่เราฟังแล้วเขียนคำนี้ลงไป ก็อย่าเผลอเขียนผิดใส่ Of ข้างหลังคำนะจ๊ะ ถึงแม้ว่าจะออกเสียงออกมาเหมือนกันก็ตาม
10. Complement / Compliment
อีกสองคำศัพท์ที่การออกเสียงเหมือนกันจนแยกไม่ออก หากไม่เอียงหูฟังดีๆ ก็จะออกเสียงคล้ายกันมาก แถมตัวสะกดก็ต่างกันแค่ตัวเดียว ในส่วนของความหมายนั้นก็แตกต่างกัน อย่างคำว่า “Complement” เมื่อทำหน้าที่กริยาจะหมายถึง to fill up or complete แปลว่า ทำให้สมบูรณ์ และcomplement เมื่อทำหน้าที่นามจะหมายถึง something that fills up แปลว่า สิ่งที่เพิ่มเข้าไปเพื่อทำให้เกิดความสมบูรณ์ History is the complement of geography. (ประวัติศาสตร์เป็นส่วนประกอบของวิชาภูมิศาสตร์)
ส่วน “Compliment” เมื่อทำหน้าที่เป็นคำกริยาจะหมายถึง to express respect or admiration แปลว่า การแสดงความเคารพและยกย่องชมเชย และเมื่อทำหน้าที่นาม หมายถึง a formal expression of admiration แปลว่า คำสรรเสริญเยินยอ เช่น She was pleased with his compliments. เธอพึงพอใจกับคำชมเชยของเขา
11. Fewer / Less
ความหมายของสองคำนี้ แปลว่า “น้อยลง น้อยกว่า” แต่คำว่า Fewer จะใช้จำนวนที่สามารถนับได้ เช่น Robert has written fewer poems since he got a real job. (โรเบิร์ตแต่งกลอนน้อยลงกว่าเดิม ตั้งแต่เขาได้งานทำ) ในกรณีนี้ใช้ fewer เพราะว่า poem (โคลงกลอน) สามารถนับจำนวนได้ ส่วน “Less” ใช้กับจำนวนที่นับไม่ได้ ตามด้วยคำนามเอกพจน์ เช่น We enjoy less freedom this year than last. (พวกเราเพลิดเพลินกับเสรีภาพปีนี้น้อยกว่าปีที่แล้ว)
12. Historic / Historical
แน่นอนความสับสนระหว่างความหมายของ Historic และ Historical มักสร้างปัญหาให้หลายคน และหากมองดูแล้วสองคำนี้สะกดคล้ายๆ กัน แถมยังเป็นคำคุณศัพท์ (Adj.) ทั้งคู่ ส่วนความหมายนั้นไม่เหมือนกันซะทีเดียว อย่างคำว่า “Historic” หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ เป็นเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในอดีต คำที่เรามักจะเห็นใช้กับ Historic บ่อยๆ ก็มี
Historic Change (การเปลี่ยนแปลงที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์)
Historic Site/spot (สถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์)
Historic Speech (การกล่าวสุนทรพจน์ที่เป็นประวัติศาสตร์)
ส่วนคำว่า “Historical” หมายถึง ที่มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ เรามักจะเห็น historical ใช้ในกรณีอย่าง
Historical Figure บุคคลในประวัติศาสตร์
Historical Document เอกสารทางประวัติศาสตร์
Historical Novel นวนิยายประวัติศาสตร์
13. Principal / Principle
สองคำนี้ออกเสียงคล้ายกันมากจนฟังแต่ศัพท์เดี่ยวๆ แล้วอาจแยกไม่ออก แต่เมื่อฟังในรูปประโยคก็จะสามารถแยกแยะออกได้โดยดูจากบริบทรอบข้าง คำว่า “Principal” เป็นคำนามแปลว่า ผู้มีอำนาจสูงสุด หรือเมื่อเป็นคำคุณศัพท์ก็แปลว่า ซึ่งสำคัญที่สุด เช่น He is the the principal of a kindergarten school. (เขาเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง) ส่วน Principle แปลว่า หลักการ ทฤษฎี กฏ หรือหลักศีลธรรมก็ได้ เช่น It’s against the principle to accept gifts from clients. (การรับของขวัญจากลูกค้านับเป็นเรื่องที่ผิดกฎ)
14. Literally
หลายคนคงเกิดความสับสนเมื่อเห็นคำนี้ในข้อความ ว่ามันมีความหมายว่าอะไรกัน?? ซึ่งคำว่า “Literally” จะแปลว่า “ตามตัวอักษร” เช่น I’m literally dying of shame. ประโยคนี้หากแปลผ่านๆ ก็แปลว่า ฉันกำลังจะตายเพราะความอับอายอยู่แล้ว แต่คำว่า literally ที่เติมเข้าไป เน้นให้เห็นจริงๆ ว่าคนพูดกำลังอับอายขายขี้หน้าถึงขีดสุด
15. เรียงคำผิด ความหมายชวนสับสน
ข้อผิดพลาดอีกอย่างที่เกิดขึ้นบ่อยๆ นั้นคือการวางคำผิดๆ และมีคำที่แปลได้หลายความหมาย เช่น
After rotting in the cellar for weeks, my brother brought up some oranges. ประโยคนี้มีความหมายตามตัวว่า หลังจากเปื่อยเน่าอยู่ที่ห้องใต้ดินตั้งหลายสัปดาห์ พี่ชายของฉันก็ขนส้มขึ้นมาจำนวนหนึ่ง แปลดูแล้วความหมายแปลกๆ ราวกับว่าพี่ชายเป็นซอมบี้ยังไงอย่างงั้น แต่ที่เรียงประโยคถูกต้องจริงๆ คือ My brother brought up some orange that had been rotting in the cellar for weeks (พี่ชายขนส้มที่เน่าจากการถูกเก็บลืมไว้ในห้องใต้ดินขึ้นมาจำนวนหนึ่ง หรือเอาง่ายๆ ว่า พี่ชายขนส้มเน่าขึ้นมาจากห้องใต้ดินนั่นเอง)
ทีนี้เรามาใช้กันให้ถูกนะจ๊ะ :)
Source: LifeOncampus