เซลลูไลท์ (Cellulite) กับผู้หญิงเราถือเป็นของคู่กัน ราวกับชิ้นส่วนสำคัญของอวัยวะทั้งที่ผู้หญิงเราก็หาได้ต้องการไม่! ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าเซลลูไลท์นี้จะเกาะอยู่ตามต้นขา สะโพก หรือหน้าท้อง
ซึ่งในวันนี้เราขอนำเสนอในส่วนของความเชื่อแบบผิดๆ รวมทั้งสาเหตุการเกิดและวิธีการกำจัดที่สามารถเห็นผลได้
ความเชื่อที่ 1 เฉพาะคนที่มีน้ำหนักตัวมากเกินมาตรฐานถึงจะมีเซลลูไลท์
Ellen Marmur แพทย์ผิวหนังที่ Marmur Medical กล่าวไว้ว่า แม้แต่นางแบบก็ยังมีเซลลูไลท์ได้ และดูเหมือนว่าสาเหตุการเกิดจะมาจากยีนและฮอร์โมน เซลลูไลท์เกิดขึ้นเมื่อซลล์ไขมันที่เคลื่อนตัวขึ้นมาสะสมอยู่ชั้นใต้ผิวหนัง และเมื่อเรามีน้ำหนักตัวเพิ่ม ไขมันเกิดบวม จึงเกิดเป็นรอยบุ๋มที่เราไม่ต้องการ
ความเชื่อที่ 2 เมื่อน้ำหนักลดหมายความว่าเซลลูไลท์ก็ลดตามไปด้วย
ตามการอ้างอิงของเว็บไซต์ American Academy of Dermatology ว่า ผิวหนักหย้อนคล้อยเมื่อน้ำหนักลดลง เซลลูไลท์จึงเป็นสิ่งที่สังเกตเห็นได้ง่ายขึ้น ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ต้องออกกำลังเพื่อให้ผิวหนังเรียบเนียนและกระชับขึ้น
ความเชื่อที่ 3 สาเหตุการเกิดเซลลูไลท์มีอยู่เสมอ
David Shafer ศัลยแพทย์พลาสติกเมืองนิวยอร์กกล่าวว่า “สาเหตุขอการเกิดเซลลูไลท์มาจากกรรมพันธุ์ การใช้ฮอร์โมน เงื่อนไขการรักษาทางการแพทย์ การเพิ่มและลดของน้ำหนัก และบางคนก็เกิดขึ้นโดยไม่อาจระบุสาเหตุการเกิดได้ชัดเจน”
ความเชื่อที่ 4 ไม่มีอะไรสามารถกำจัดเซลลูไลท์ออกไปได้
Deanne Mraz Robinson แพทย์ผิวหนังที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการคณะแพทยศาสตร์แห่ง Connecticut กล่าวว่าข่าวดีก็คือเรื่องนี้ไม่เป็นความจริงอีกต่อไป ถึงแม้ที่ผ่านมาจะมีผลิตภัณฑ์ที่ต่างเคลมว่าสามารถลดและกำจัดเซลลูไลท์ได้แต่กลับไม่ให้ผลลัพธ์ที่ดีนัก ซึ่งปัจจุบันมีเครื่องมือที่ชื่อ Cellfina ทำงานด้วยการปล่อยเนื้อเยื่อสูญญากาศที่ช่วยกระจายเส้นใย สามารถเห็นผลได้ภายในสามวันและยาวนานถึงสามปี
ความเชื่อที่ 5 เฉพาะผู้อายุเท่านั้นที่มีเซลลูไลท์
Dr. Robinson บอกว่าไม่เป็นความจริงเลย เพราะเซลลูไลท์สามารถเห็นได้ชัดในผู้หญิงวัยแรกรุ่น การวางแนวของเส้นใยแถบสามารถสังเกตได้ในมดลูกในเพศหญิง ซึ่ง Dr. Emer ต่างก็เห็นด้วย เธอกล่าวว่า ‘คนสูงอายุจะสังเกตเห็นได้ชัดเจนเพราะผิวจะหลุดร่วงเมื่อเราอายุมากขึ้น และเมื่อผิวลดลงทำให้เซลลูไลท์กลายเป็นที่เด่นชัด’
ความเชื่อที่ 6 การฟอกหนังช่วยลดเซลลูไลท์
Dr. Robinson กล่าวว่าการฟอกหนังหรือการทำผิวแทนไม่ได้ช่วยให้เซลลูไลท์ลดลงเลย สำหรับบางคนผิวหนังที่ฟอกหนังอาจลดเงาที่เห็นในเซลลูไลท์และระลอกคลื่นได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ตรงจุด
ความเชื่อที่ 7 ครีมป้องกันเซลลูไลท์มันได้ผลนะ
Dr. Robinson กล่าวว่า “ครีมหลายชนิดที่วางจำหน่ายเพื่อรักษาเซลลูไลท์นั้น ไม่สามารถให้ผลลัพธ์ได้ ซึ่งบางอย่างอาจทำให้เกิดการขยายตัวชั่วคราวของหลอดเลือดนำไปสู่อาการบวมซึ่งสามารถอำพรางเซลลูไลท์ แต่ไม่สามารถรักษาสาเหตุพื้นฐานได้ จึงไม่ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน”
ความเชื่อที่ 8 เซลลูไลท์มีแค่ชนิดเดียว
ในความเป็นจริงเซลลูไลท์มี 2 ประเภทหลักๆ ด้วยกันคือ เป็นรอยบุ๋มกับริ้วรอยคลื่น
Dr. Shafer กล่าวว่ามีวิธีการรักษากับเซลลูไลท์ที่แตกต่างกัน ผู้ป่วยที่มีรอยบุ๋มจะรักษาด้วยเทคนิค subcision หรือการปลูกถ่ายไขมันเพื่อเติมเต็มบางส่วน รวมถึงการใช้เครื่องมือ Cellfina ในการรักษา
ในทางตรงกันข้าม สำหรับผู้ป่วยที่มีลักษณะปรากฏเป็น cottage cheese ถือเป็นปัญหาใหญ่ เนื่องจากมีการกระจายมากขึ้นและไม่ประจำอยู่เฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง ในบางกรณีต้องทำการผ่าตัดยกกระชับต้นขาหรือก้นเพื่อให้เรียบเนียน
ความเชื่อที่ 9 ก้อนและส่วนขรุขระคือเซลลูไลท์
นั่นไม่ใช่ความจริง Dr.Shafer กล่าวว่า “เซลลูไลท์เป็นศัพท์ที่ใช้โดยทั่วไปในการอธิบายถึงความหย่อนคล้อยและรอยหยักของผิวหนังบริเวณต้นขาและก้น แต่จริงๆ แล้วมีหลายสาเหตุที่อาจไม่เป็นเซลลูไลท์” ผิวหนังหย่อนคล้อยและรอยแตกลายอาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเซลลูไลท์ ในความเป็นจริงคือถุงที่มีไขมันน้อยจะหลุดออกมา (ผลักดัน) เส้นใยที่เป็นเส้นๆ ใต้ผิวทำให้เกิดก้อนและรอยหยัก”
ความเชื่อที่ 10 มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีวิวัฒนาการด้านเซลลูไลท์
ซึ่งใน American Journal of Clinical Dermatology ระบุว่า เซลลูไลท์เป็นเรื่องธรรมดามาก มีผลต่อผู้หญิงราว 90% ของสตรีวัยหมดประจำเดือน นอกจากนี้ Dr. Emer ยังกล่าวเสริมว่า “ทุกคนสามารถมีเซลลูไลท์ได้ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ สั้นหรือยาว หนุ่มหรือแก่”
ความเชื่อที่ 11 เซลลูไลท์มีเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น
ฮอร์โมนเพศหญิงอย่างฮอร์โมนเอสโตรเจน มีผลมากกับผู้หญิงในเรื่องเซลลูไลท์ เนื่องจากเอสโตรเจนกระตุ้นการจัดเก็บไขมันใต้ผิวหนัง ผู้ชายมีชั้นไขมันใต้ผิวหนังมากและมีแนวโน้มที่จะแสดงเซลลูไลท์น้อยกว่า Dr. Emer กล่าวว่า “ถ้าผู้ชายสร้างเซลลูไลท์นั่นหมายความว่าเกิดจากการน้ำหนักตัวลดลงอย่างใหญ่หลวง”
ที่มา www.rd.com