เทศกาลฮาโลวีน หรือวันฮาโลวีน เป็นวันหยุดประจำปีซึ่งฉลองในวันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี วันนี้มีต้นกำเนิดมาจากเทศกาลของเซลติคที่ชื่อว่า Samhain และวันศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสเตียนในการระลึกถึงนักบุญออนเซ็นต์
กิจกรรมในวันนี้ ทุกคนก็จะตกแต่งสถานที่ให้เป็นสีส้มและสีดำ ซึ่งเป็นสีประจำวันฮาโลวีน และตกแต่งด้วยฟักทองแกะสลัก หรือที่เรียกว่า Jack-o’-Lanterns พร้อมทั้งทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน
เช่น การเล่น “Trick or Treat” มีการแต่งตัวเป็นผีไปร่วมงานปาร์ตี้ เล่นรอบกองไฟ ผจญภัยในสถานที่สยองขวัญ เล่นเกมทดสอบความกล้า อ่านเรื่องสยองขวัญ และชมภาพยนต์สยองขวัญ เป็นต้น
นอกจากเรื่องราวที่เล่ามาแล้วก็ยังมีอีก 12 ความลับ ที่เชื่อว่าหลายๆ คนคงยังไม่เคยรู้เกี่ยวกับวันฮาโลวีนมาก่อน จะเป็นอะไรบ้างนั้น ไปอ่านกันเลยดีกว่า…
1. มีความเชื่อว่าประเทศไอร์แลนด์เป็นต้นกำเนิดของวันฮาโลวีน
เทศกาลที่เป็นต้นกำเนิดของฮัลโลวีนก็คือ เทศกาลของชาวเซลติคโบราณที่เรียกว่า Samhain ที่ได้จัดขึ้นเมื่อ 2,000 ปีก่อนใน County Meath ชาวเซลติคเชื่อว่าวันนี้เป็นวันที่คนตายและคนเป็นถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน จิตวิญญาณของคนตายจะย้ายร่าง หาที่สิงสู่
ผู้คนจึงแก้ไขด้วยการปิดไฟในบ้านทุกดวง และแต่งตัวเป็นผีเพื่อกลบเกลื่อน แต่ปัจจุบันการจัดงานวันฮัลโลวีนนั้นเปลี่ยนไปมาก มีงานเฉลิมฉลองด้วยแท่งไฟมากมาย และประดับประดาตกแต่งสถานที่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน
2. ผู้คนเชื่อว่า ถ้าใส่หน้ากากในวันฮาโลวีนแล้วเหล่าภูตผีปีศาจจะจำหน้าไม่ได้
วันฮัลโลวีนเป็นเหมือนวันปล่อยผีของฝั่งยุโรป เพื่อไม่ให้ถูกผีหลอก ผู้คนจึงแต่งตัวเป็นภูติผีปีศาจ เพื่ออำพรางใบหน้าให้ผีเหล่านั้นจำไม่ได้ว่าเป็มนุษย์นั่นเอง
3. เดิม Jack-o’-Lanterns ทำมาจากหัวผักกาด และหัวบีตรูต ไม่ใช่ฟักทองแบบที่เห็นในปัจจุบัน
Jack-o’-Lanterns เมื่อก่อนถูกเรียกว่า Jack of the Lantern มีต้นกำเนิดมาจากเรื่องเล่าของชาวอังกฤษในสมัยก่อนเกี่ยวกับชายที่มีชื่อว่า Stingy Jack
โดยตามตำนานจะใช้หัวผักกาด หรือหัวบีทรูตในการแกะสลักเป็นตะเกียง แต่ชาวอเมริกันได้เปลี่ยนมาใช้หัวฟักทองแบบที่เราคุ้นตาในปัจจุบัน
4. ฟักทองใช่ว่าจะมีแต่สีส้ม แต่จริงๆ แล้วยังมีสีเขียว ขาว แดง เหลือง หรือแม้กระทั่งสีน้ำตาล
จริงๆ แล้วฟักทองก็มีหลากหลายสีเช่น สีเขียว สีขาว สีแดง สีเหลือ หรือแม้แต่สีน้ำตาล แต่ส่วนมากที่เราพบเห็นแต่สีส้ม จึงทำให้หลายๆ คนคิดว่าฟักทองจะมีแค่สีเดียวนั่นเอง
5. การเล่น “Trick or Treat” ถูกระงับในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
การเล่น “Trick or Treat” เริ่มต้นมาตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แต่ถูกระงับในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องมาจากอเมริกาต้องประหยัดจำนวนการใช้น้ำตาล เพราะกำลังสู้รบในสงครามใหญ่จึงต้องหาวิธีประหยัดทุกทาง
6. ในวันนี้คุณจะได้เพลิดเพลินไปกับขนมหวานหลากหลายชนิดแบบไม่อั้น
ขนมหวานทั้งลูกกวาด ลูกอม ขนมต่างๆ เป็นที่นิยมมากในการเฉลิมฉลองวันฮัลโลวีน ในช่วงนี้ยอดขายของขนมเหล่านี้ถือว่าพุ่งกระฉูดเอามากๆ และคุณสามารถหากินในช่วงเทศกาลได้แบบไม่อั้นเลยทีเดียว
7. ยิ่งแต่งตัวให้ดูน่ากลัวเท่าไหร่ได้ยิ่งดี
เรื่องราวสยองขวัญทั้งในหนัง หรือเรื่องเล่าต่างๆ จะเป็นที่นิยมมากในช่วงวันฮัลโลวีนนี้ และมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ตำนานวันฮัลโลวีนว่า ถ้าไม่แต่งตัวแบบผีๆ คุณอาจจะทำให้ภูติผีไม่พอใจ และมาหลอกให้คุณจับไข้หัวโกร๋นเอาได้
8. วันฮาโลวีนเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับชาวคริสต์
คำว่า Halloween เป็นคำภาษาอังกฤษที่เพี้ยนมาจากคำว่า All Hallow’s Evening ซึ่งแปลว่า วันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย ช่วงเวลาของวันฮัลโลวีนจะมีระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคมถึง 2 พฤศจิกายน ช่วงเวลานี้ชาวคริสต์ทุกคนจะระลึกถึงความตาย รวมทั้งผู้เสียสละและนักบุญทุกท่าน
9. เกม Apple Bobbing มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษ
การเล่นเกม Apple Bobbing ผู้เล่นต้องพยายามคาบผลแอปเปิ้ลที่ลอยอยู่ในถังออกมาให้ได้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวความเชื่อเกี่ยวกับการทำนายเนื้อคู่
โดยการปอกเปลือกแอปเปิ้ลซึ่งต้องปอกให้เป็นเส้นยาวโดยไม่ขาดออกจากกัน แล้วโยนเปลือกนั้นข้ามไหล่ไป เปลือกแอปเปิลนั้นก็จะปรากฎเป็นตัวอักษรนำหน้าชื่อเนื้อคู่ของคุณ
10. นกฮูกเป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงวันฮาโลวีน
ในช่วงยุคกลางของยุโรปมีความเชื่อว่านกฮูกก็คือแม่มดที่แปลงกายมา และเมื่อไหร่ก็ตามที่นกฮูกร้อง เป็นสัญญาณว่ากำลังจะมีคนตาย
11. วันฮาโลวีนเป็นวันใช้จ่ายครั้งยิ่งใหญ่ลำดับที่สอง รองจากวันคริสต์มาส
ชาวอเมริกันใช้เงินในการเฉลิมฉลองวันฮาโลวีนในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก เงินที่สะพัดในแต่ละปีมีมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์
12. มีวิธีเห็นแม่มดตัวจริงได้ โดยต้องทำพิธีตอนเที่ยงคืน
มีความเชื่อว่าถ้าอยากเจอแม่มดตัวเป็นๆ ให้ใส่เสื้อผ้ากลับด้าน จากนั้นก็เดินถอยหลังในวันฮัลโลวีน แล้วแม่มดจะมาปรากฎตัวให้เห็นในเวลาเที่ยงคืน
จะเห็นได้ว่าฮาโลวีนไม่ได้เป็นเพียงแค่เทศกาล แต่ยังอยู่ในวิถีชีวิตของผู้คนมาอย่างยาวนาน ถือเป็นเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจมากๆ เลยใช่มั้ยคะ ^O^
ที่มา: vintag