สวัสดีครับเพื่อนๆ วันนี้เรามีบทความดีๆมานำเสนอให้เพื่อนๆที่อยากประสบความสำเร็จทางด้านการเงินมาฝากครับ บางคนอาจจะรู้แล้วและวางเป้าหมายไว้เรียบร้อย หรือบางคนอาจจะไม่มีแนวทางอะไรเลย ทั้งนี้ทั้งนั้น บทความดีๆแบบนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆทุกคนที่อยากมีความสำเร็จด้านนี้ครับ
ที่เราจนอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่เพราะเราขี้เกียจทำงาน แต่ที่จนเพราะเรา เข้าใจผิด อยู่แค่ 2 เรื่องต่างหาก
1. เข้าใจผิดเกี่ยวกับความหมายของ ทรัพย์สิน
2. เข้าใจผิดเกี่ยวกับความหมายของ หนี้สิน
อยากรวย ต้องทำความเข้าใจใหม่
1. ทรัพย์สิน คือ รายรับ คือ การนำเงินเข้ากระเป๋าตังค์
คำถาม ใน 1 เดือนคุณมี รายรับ เข้ากระเป๋าคุณกี่ครั้ง คุณตอบได้หรือไม่
2. หนี้สิน คือ รายจ่าย คือ การนำเงินออกจากกระเป๋าตังค์
คำถาม ใน 1 เดือนคุณมี รายจ่าย ออกจากกระเป๋าคุณกี่ครั้ง คุณตอบได้หรือไม่
ทำไมเราถึงต้องทำงาน เหตุที่เราต้องทำงาน มีอยู่ 2 เหตุผล
1. ความกลัว – กลัวจะไม่มีกิน , กลัวจะไม่มีความสุข กลัวจะไม่มีรถ , กลัวจะไม่มีบ้าน , กลัวไปหมด
2. ความโลภ – โลภเพื่อจะมีมากกว่าคนอื่น , เยอะกว่าคนอื่น ใหญ่กว่าคนอื่น , แพงกว่าคนอื่น , หรูกว่า ภูมิฐานกว่า , โลภไปทุกอย่าง
ความกลัวและความโลภเป็นสิ่งที่ดี แต่เราต้องควบคุมให้อยู่ในความพอดี สิ่งที่จะควบคุม ความกลัวกับความโลภได้นั้นคือ ความรู้
การทำงานของคนจนและคนรวย
– คนจนทำงานเพื่อ นำไปสร้างหนี้สิน ยิ่งกลัว ยิ่งโลภ ยิ่งทำงาน ยิ่งสร้างหนี้ ยิ่งจน
– คนรวยทำงาน เพื่อไปสร้างทรัพย์สิน ยิ่งกลัว ยิ่งโลภ ยิ่งทำงาน เพื่อไปสร้างทรัพย์สิน เพิ่มมูลค่า ยิ่งรวย
– คนรวย มากๆ ใช้เงินทำงาน เพื่อไปสร้างทรัพย์สิน ยิ่งกลัว ยิ่งโลภ ยิ่งใช้เงินทำงาน เพื่อไปสร้างทรัพย์สินเพิ่มมูลค่า แล้วนำส่วนที่ได้จากทรัพย์สินเพิ่มมูลค่า ไปสร้างทรัพย์สินเพิ่มมูลค่า ยิ่งรวยๆๆๆๆ
ถนนของของคนจน เริ่มต้นสบาย สุดท้ายลำบาก
ถนนของของคนรวย เริ่มต้นลำบาก สุดท้ายสบาย
ขั้นตอนเป็นคนรวย
1. เปลี่ยนความคิด เรื่องทรัพย์สินและหนี้สิน
– รายรับ คือ เอาเงินเข้ากระเป๋าตังค์ เรียกว่า ทรัพย์สิน
– รายจ่าย คือ เอาเงินออกจากกระเป๋าตังค์เรียกว่า หนี้สิน
2. แยกให้ออกว่าอะไรเป็นทรัพย์สินเพิ่มมูลค่า หรือเสื่อมมูลค่า
– ทรัพย์สินเพิ่มมูลค่า คือ ได้มาแล้วเพิ่มมูลค่าให้เรา เช่น ซื้อที่ดินมา 5 แสนบาท ทิ้งไว้ 1 ปี ขายได้ 6 แสนบาท ซื้อทองมา 1 บาท ราคา 11800 บาท เก็บไว้ 1 ปี ราคา 12500 บาท ซื้อบ้านมาให้คนอื่นเช่า เป็นต้น
– ทรัพย์สินเสื่อมมูลค่า คือ ได้มาแล้วมูลค่ามีแต่ลดลง เช่น
ซื้อรถยนต์มาราคา 6 แสนบาท ขับได้ 3 ปี ขายได้ 3 3 แสน มูลค่าลดลง 3 แสนบาท แถมต้องเติมน้ำมันอีก
ซื้อโทรศัพท์มาราคา 12000 บาท เวลาขายคืนได้แค่ 4500 บาท ไหนจะเสียค่าโทรอีก
ซื้อมอเตอร์ไซด์ 5 หมื่นบาท เวลาขายต่อ 2 หมื่น ยังหาคนซื้อต่อยากเลย
ซื้อที่ ซื้อทอง เอาเงินฝากธนาคาร ต้องเสียเงินซื้อถ่าน เติมน้ำมัน ใส่น้ำ หรือเสียบปลั๊กหรือเปล่าครับ ถ้าไม่ต้องก็แสดงว่าเป็นทรัพย์สิน และมันต้องเพิ่มมูลค่าไปเรื่อยๆนะครับ
ซื้อถ้วยโถโอชามของ รักของสะสม ไม่ต้องเติมน้ำมัน ไม่ใส่ถ่าน ไม่เสียบปลั๊กให้มันก็จริง วันนึงขายจะได้กำไรมากกว่าฝากธนาคารไหมครับ ถ้าไม่มันก็จะเป็นทรัพย์สินเสื่อมมูลค่า หรือไม่ก็แค่มีค่าทางจิตใจ บางทีก็เป็นแค่ ขยะรกบ้านเราเท่านั้นเองนะครับ ขายใครก็ไม่มีใครเอา เพราะเราสะสมคนละรสนิยมกัน
3. ลดรายจ่าย ตัวเอง และครอบครัวก่อน
หลายคนคิดว่า ถ้าจะรวยต้องหารายได้ เพิ่มแต่เพียงอย่างเดียว เป็นความคิดที่ล้าสมัยแล้วครับ สิ่งเดียวที่ทำได้ก่อนหารายได้ คือการลดรายจ่าย เริ่มจากรายจ่ายที่เกิดขึ้นกับ ตัวเราเองก่อน เราใช้เงินวันละเท่าไร และสิ่งที่เราใช้มีประโยชน์ ผลตอบแทน หรือคุ้มค่ากับเรามากแค่ไหน รายจ่ายอะไรที่เราลดได้ลดได้เท่าไร วิธีการลดทำอย่างไรต่างหาก ที่ทำได้ง่ายที่สุด ต่อมาหาทางลดรายจ่ายของครอบครัวครับ แล้วค่อยไปขั้นตอนหารายได้เพิ่ม อย่าลืมนะครับ ลดรายจ่ายก่อนหารายได้ครับ
หลักการง่ายๆของการลดรายจ่าย
– ลดความสมบูรณ์แบบของชีวิต
ชีวิตของแต่ละคนจำเป็นต้องสมบูรณ์แบบไปเสียทุกด้านหรือไม่ครับลองนึกดูนะ เราจำเป็นต้องใช้สิ่งของที่สามารถทำทุกอย่างได้ในตัวเดียวกันหรือเปล่าครับ ยกตัวอย่างเช่น คุณจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ที่ต้องถ่ายรูปได้ ฟังเพลงได้ ส่ง MMS ได้ ต่อ INTERNET ได้ สายเข้าเป็นเสียงเพลงได้ หรือเปล่าครับถามตัวเราเองว่าถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เราจะลำบากไหมครับ ตอบแทนก็ได้นะครับ แทบไม่ลำบากเลย แต่การมีสิ่งเหล่านี้ซิลำบาก ลำบากอย่างไรหรือครับ โทรศัพท์ที่ทำได้ครบทุกอย่างที่ว่ามา ราคาเท่าไรครับ หมื่นกว่าบาท หลายคนต้องผ่อน เดือนละพันกว่าบาท ถามว่าแล้วใช้สิ่งที่ว่ามาวันละกี่ครั้งครับ แล้วใช้เพื่อประโยชน์อะไรครับเพื่อความบันเทิง เพื่อความเท่ หรือเพื่อให้รูว่าฉันก็มีเหมือนกัน หรือฉันมีดีกว่าของเธอ บางคนซื้อมาทำอะไรไม่เป็นครับ โทรเป็นอย่างเดียวแบบนี้เรียกว่าไม่คุ้มค่าเอามากๆ เครื่องละพันกว่าบาทก็ทำได้ครับไม่ต้องเสียตังค์เป็นหมื่นด้วยครับ
– ลดต้นทุนชีวิต ลดต้นทุนชีวิต
จะคล้ายๆกับลดคุณภาพชีวิตนั้นแหละครับข้อนี้ต้องทดลองทดสอบดูนะ ยกตัวอย่างเช่น ข้าวสารที่คุณซื้อมาหุงทานอยู่ทุกวันนี้เป็นข้าวหอมมะลิอย่างดี ราคา 5 กิโล 105 บาท คุณลองหาข้าวสารที่ราคาถูกกว่านี้ แต่ความอร่อยใกล้เคียงเดิมแต่ราคาถูกลง มาทาน หากคุณลองซื้อมาแล้วคุณทานได้ไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก แต่ราคา 85 บาท คุณลดต้นทุนชีวิตคุณได้ ต่อข้าวสาร 5 กิโล 20 บาทแล้วนะครับ แล้วเดือนหนึ่งครอบครัวคุณทานข้าวกี่กิโลครับลองคิดดู
4. หารายได้เพิ่ม
การหารายได้เพิ่มมีหลายช่องทางครับ เช่น ทำ OT ซื้อของมาขาย เอาเงินฝากธนาคาร เล่นหุ้น ทำกิจการส่วนตัว แล้วแต่จะทำกันนะครับ สิ่งที่สำคัญในการหารายได้เพิ่ม คือความรู้ เราต้องรู้ก่อนว่าช่องทางนั้นๆ เราจะมีผลได้ผลเสียอย่างไร จะไม่สำเร็จได้หากเราไม่มีความรู้เรื่องนั้นๆ มีข้อแนะนำเกี่ยวกับการหารายได้เพิ่มไว้ดังนี้ครับ ต้องกำไรตั้งแต่ตอนซื้อ ไม่ใช่กำไรตอนขาย ตัวอย่างเช่น เราซื้อทองมาเก็บไว้ 1 ปี เรามีกำไลแน่ๆเพราะทองส่วนมากมีแต่ขึ้นไม่ค่อยจะลดเท่าไร แต่ต้องเป็นทองคำแท่งนะครับไม่ใช่ทองรูปพรรณ เนื่องจากทองคำแท่งไม่ต้องเสียค่ากำเน็จครับ อะไรที่ขาดทุนตั้งแต่ตอนซื้อนะหรือครับ อะไรก็ได้ที่ซื้อด้วยอารมณ์ ไม่ได้ซื้อด้วยเหตุผลครับ เพราะซื้อแล้วใช้ประโยชน์ไม่คุ้มขายต่อราคาตกแน่ๆครับ ขาดทุนตั้งแต่ตอนซื้อ
ใช้สมองหารายได้
เงินอยู่ระหว่างทางที่เราผ่านไป ผ่านมาทุกวัน แต่เราไม่สามารถเก็บได้ เพราะเราไม่รู้วิธีเก็บ มาเป็นของเราเท่านั้นเอง เป็นคำกล่าวที่เฉียบคมมากครับ การที่เราจะรายได้เพิ่มนั้นนอกจากเราจะต้องมีความรู้แล้ว เราต้องมีความคิดที่ดีพอที่จะหารายได้ด้วยนะครับ หลายคนอยากเป็นเจ้าของกิจการ รู้อย่างเดียวว่าต้องใช้เงินลงทุน ไม่คิดว่าเงินนั้นจะต้องทำอย่างไรมา บางคนไปกู้เงินมาลงทุน ไหนจะต้องรับภาระดอกเบี้ยเงินกู้ ไหนจะต้องรับ ภาระปัญหากิจการอีกหลายอย่าง กิจการล้มไม่เป็นท่ามานักต่อนักแล้วครับ ถ้าเป็นเงินเย็นก็ดีไปล้มก็ไม่ต้องเป็นภาระใช้หนี้สินต่อ เริ่มต้นใหม่ได้ไม่ยาก เราอย่าพึ่งคิดว่าเราจะต้องเป็นเจ้าของกิจการอะไร เพียงแต่เราคิดว่าเราลงทุนอะไร ได้ผลตอบแทนคุ้มกับเงินที่เราลงทุนหรือไม่ดีกว่า ตัวอย่างเช่น เราซื้อของมาขายชิ้นหนึ่งต้นทุน 20 บาท เราขายในราคา 25 บาทกำไร 5 บาท ได้กำไร 25 % เชียวนะครับ
ค่อยๆ ทำ ค่อยๆฝึก คนรวยเคยกล่าวไว้ว่า ก้าวแรกของการทำธุรกิจคือ ก้าวเล็กๆ ของเด็กน้อยนะครับ เพราะเด็กน้อยจะค่อยๆก้าว ค่อยๆก้าว ใจเย็นๆ ค่อยเป็นค่อยไป มั่นใจกว่ากันเยอะครับ ขอเพียงแค่เรามีความรู้ ความพยายาม ก็จะไปได้ดีครับ เมื่อเราชำนาญ มีประสบการณ์แล้วค่อยก้าวแบบผู้ใหญ่ก็ไม่สายครับ กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จ ภายในวันเดียว
source: gracezone