ขึ้นชื่อว่าภูเขาไฟแล้วล่ะก็ หลายๆ คนก็คงจะหวั่นเกรงกันไม่น้อยเลยทีเดียว ลองนึกถึงเขม่าควันไฟ แมกม่าร้อนๆ แล้วก็กลิ่นกำมะถันสิ รับรองว่ามีสยิวกิ๋วกันบ้างแหละ
แต่ในทางกลับกัน เคยมีคนกล่าวไว้ว่า สถานที่ใดยิ่งดูอันตรายเท่าไหร่ยิ่งถ่ายภาพออกมาได้สวยมากเท่านั้น แต่จะมีอะไรเป็นข้อพิสูจน์ล่ะ!?
วันนี้เราก็เลยจะพาเพื่อนๆ ไปชมภาพการจัดอันดับโดย CNN ในหัวข้อ “10 of the world’s most photogenic volcanoes” ภูเขาไฟที่ยังคงคุกรุ่นส่งเปลวเพลิงจากใต้ผืนดิน ลองมาชมกันเลย
1. Kilauea (Hawaii)
ลืมภาพของฟ้าสวยน้ำใสตามแบบฉบับของฮาวายที่เรารู้จักไปได้เลย เพราะความจริงแล้วที่นี่นับเป็นหนึ่งในจุดศูนย์รวมภูเขาไฟที่เยอะที่สุดของโลกก็ว่าได้
และที่ที่โดดเด่นมากที่สุดก็คือ “Kilauea Volcano” ด้วยความสูงกว่า 1,280 เมตร มีการระเบิดลาวาอยู่เรื่อยมาตั้งแต่ปี 1983 นักปีนเขาส่วนใหญ่จะรอเวลาให้ถึงช่วงกลางคืนเพื่อจะเก็บภาพในยามท้องฟ้าพร่างพราว ตัดกับสีแสดสุดสะพรึงของลาวาร้อนระอุในปากปล่องภูเขาไฟ
2. Kawah Ijen, East Java, Indonesia
ภูเขาไฟ Kawah Ijen มีความแปลกกว่าที่อื่นเพราะว่ามี “ลาวาสีคราม” อันเป็นผลจากกรดกำมะถันที่เมื่อหลอมละลายจากความร้อนจะปล่อยเพลิงสีฟ้าออกมา และปรากฏการณ์นี้จะสามารถเห็นได้เด่นชัดในคืนเดือนมืด
แถมบนปล่องยังมีทะเลสาปอยู่อีกด้วย แต่นักท่องเที่ยวก็ต้องระวังเป็นพิเศษเพราะน้ำในนั้นมีความร้อนสูงมากในระดับละลายผิวหนังได้เลย
3. Villarrica, Chile
แม้จะเป็นภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่กลับแฮปปี้กับทัศนียภาพเบื้องล่างของ Villarrica มากกว่า ด้วยความสวยงามของหมู่บ้าน Villarrica ที่อยู่เบื้องล่าง รายล้อมด้วยทะเลสาบแสนสวยงาม
4. Fuji, Japan
หนึ่งในภูเขาไฟที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และอยู่คู่วัฒนธรรมญี่ปุ่นมากว่า 2,000 ปี ทุกๆ ปีมีนักท่องเที่ยวกว่า 200,000 คนเดินทางมาเยือนที่นี่ ด้วยความสูงกว่า 12,300 ฟุต ช่างดูเป็นหนทางที่ยาวไกล
โชคยังดีที่ระหว่างทางขึ้นเขามีจุดให้แวะพักถึง 10 สถานี ให้คุณได้ดื่มด่ำบรรยากาศพร้อมจิบสาเกไปด้วย โดยมากมักนิยมขึ้นเขากันในตอนค่ำเพื่อที่จะไปรอชมพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขา อันเป็นความประทับใจในแบบขั้นสุดยอด
5. Virunga Mountains, East Africa
มวลเมฆหน้าตาประหลาดคล้าย UFO นี้พบเห็นได้บนภูเขา Virunga ซึ่งกินอาณาเขตตั้งแต่ประเทศ Rwanda Uganda ไปจนถึง Congo เกิดจากกระแสลมที่พัดขึ้นสู่ยอดเขาไปกระทบกับความเย็นที่อยู่ด้านบน
ก่อให้เกิดรูปร่างคล้ายหมวกสวมลงยอดเขาพอดิบพอดี บริเวณป่ารอบๆ เขายังสามารถพบกอริลล่า และสัตว์อื่นๆ หลายสายพันธุ์ เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบเดินป่าดูสัตว์อย่างยิ่ง
6. Licancabur, Bolivia
ถูเขาไฟที่สงบ และไม่มีการระเบิดมากว่า 10,000 ปีแล้ว จุดเด่นของภูเขาไฟ Licancabur นั้นอยู่ที่ทะเลสาปน้ำเค็ม turquoise ที่อยู่เบื้องล่าง มีความใสสะอาดราวกับคริสตัลจนวิวภูเขาสะท้อนน้ำแบบเห็นได้ชัด
และวิธีที่จะขึ้นมาบนนี้อย่างสะดวกที่สุดคือการโดยสารรถจี๊ป
7. Mount Etna, Italy
ภูเขาไฟที่เพิ่งขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2013 ภูเขาไฟ Etna นับเป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่มีการปะทุบ่อยครั้ง และมีความสูงที่สุดของยุโรปอีกด้วย นั่นทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเก็บภาพยามควันไฟปะทุ ลอยสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเย็นได้อย่างง่ายดาย
8. Arenal, Costa Rica
ภูเขา Arenal เป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่มีอายุเก่าแก่ ยังคงพ่นลาวา และแม็กม่าร้อนๆ อยู่จนปัจจุบันมากว่า 7,000 ปีแล้ว บริเวณรอบภูเขากว่า 29,692 เอเคอร์ยังเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีเส้นทางปั่นจักรยานชมธรรมชาติอีกด้วย
9. Mayon, Philippines
ในหมู่เกาะ Luzon ห่างจากกรุง Manila ไปเพียง 332 กิโลเมตร มีภูเขาไฟที่ระเบิดบ่อยครั้งที่สุดในโลก ชื่อว่าภูเขาไฟ Mayon ซึ่งนับตั้งแต่ปีค.ศ. 1616 มาก็มีการระเบิดถึง 47 ครั้ง การระเบิดครั้งที่รุนแรงที่สุดทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,000 คน ความสูงของภูเขา Mayon นั้นว่ากันว่าสูงจนเงาของมันพาดทับบังเมือง Legaspi ที่อยู่เบื้องล่าง เป็นการเตือนใจให้ระลึกถึงความงามที่แฝงด้วยอันตรายของธรรมชาติ
10. Cotopaxi, Ecuador
สุดยอดภูเขาไฟที่มีความงดงามที่สุดของ Ecuador และยังมีความง่ายในการปีนเสียด้วย นักท่องเที่ยวสามารถมาเข้าคอร์สเรียน เช่าอุปกรณ์แล้วปีนได้ทันที แต่ทั้งนี้ต้องจ้างไกด์นำทางขึ้นไปด้วยตามกฏหมายของ Ecuador ที่กำหนดไว้ว่าการปีนเขาที่สูงกว่า 16,000 ฟุต จะต้องมีผู้นำทางที่มีใบอนุญาตขึ้นไปด้วย (Cotopaxi สูง 19,347 ฟุต)
สำหรับใครที่ไม่ได้อยากผจญภัยมากนักก็สามารถเข้าพักที่รีสอร์ทชมความงามแบบพาโนรามาอยู่เบื้องล่างก็ได้นะครับ
ที่มา: TravelTrue