ถ้าพูดถึงการเรียนและการศึกษาแล้ว หลายๆ คนอาจจะนึกไปถึงความ ‘เก่งกาจ’ ทางวิชาการเป็นที่ตั้ง จนอาจลืมมองถึงเรื่อง ‘ความสุข’ ของผู้เรียนไปเสียสนิท แต่วันนี้เราก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจของระบบการศึกษาในประเทศเดนมาร์กมาฝากกันล่ะ
และถ้าจะเทียบด้านความเก่งด้วยแล้วล่ะก็ ต้องบอกว่าประเทศเดนมาร์กนั้น ระบบการศึกษาดีมากๆ เพราะติดมาเป็นอันดับ 3 ของโลก และถ้าในเรื่องความสุขของผู้เรียนล่ะก็ นำมาเป็นอันดับ 1 เลยทีเดียว!!
เคล็ดลับของประเทศเดนมาร์กคืออะไรนั้น เรามาชมกันเลย…
1. การมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีที่สุด ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต
การดูแลเด็กนักเรียนในระบบการศึกษาของประเทศเดนมาร์กนั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับการฝึกเหล่าเด็กๆ เพื่อให้สอบผ่านแต่อย่างใด แต่ผลักดันให้พวกเขาเกิดความอยากรู้อยากเห็น และฝึกไหวพริบ เพื่อให้พวกเขาสามารถพัฒนาความรู้ด้วยตนเองมากกว่า
โรงเรียนจะทำการส่งเสริมกระบวนการสร้างความเข้าใจให้กับเหล่านักเรียนว่าพวกเขานั้นจะถูกประเมินค่าจากคุณสมบัติส่วนตัว และความสามารถของแต่ละคน นั่นหมายความว่าทุกๆ คนจะไม่คำนึงถึงเกรดของตัวเอง ทำให้พวกเขาสามารถอยู่ในสังคมได้โดยไม่ต้องแคร์ว่าใครจะเก่ง หรือจะทำอาชีพอะไร และที่สำคัญที่สุดเด็กๆ ไม่มีใครตกประเมิณแม้แต่คนเดียว
2. การรู้จักตัวเองสำคัญพอๆ กับความสามารถในการเขียนได้และอ่านได้
ระบบการศึกษาของโรงเรียนในประเทศเดนมาร์กนั้นมีเป้าหมายที่จะสนับสนุนในเรื่องของการพัฒนาบุคลิกภาพของแต่ละคน และได้ทำการระบุออกมาเป็นกฎเลยว่าระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานนั้นไม่ควรที่จะให้แค่ความรู้เบื้องต้นกับความสามารถเท่านั้น แต่ควรที่จะช่วยในเรื่องของการพัฒนาบุคลิกภาพอีกด้วย
แม้กระทั่งในช่วงเตรียมพร้อมก่อนที่จะเข้าสู่ระบบการศึกษาด้วยก็เช่นกัน (โรงเรียนอนุบาล หรือ เตรียมอนุบาล) เด็กๆ จะต้องมีการเตรียมตัวหลายอย่างก่อนที่จะเข้ามาสู่ระบบการศึกษาหลัก โดยเฉพาะในเรื่องของภาษา ทำความคุ้นเคยกับกฎระเบียบของโรงเรียน เรียนรู้ที่จะใจกว้าง และเตรียมพร้อมสำหรับการมีส่วนร่วมในสังคมได้ต่อไป
3. ไม่ส่งเสริมวิธีการเรียนแบบท่องจำ แต่สอนให้รู้จักคิดและเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น
ในโรงเรียนของประเทศเดนมาร์กนั้น นักเรียนทั้งหลายจะถูกส่งเสริมให้หาข้อมูลด้วยตัวเอง เพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงข้อมูลและนำมาตอบคำถามได้อย่างอิสระและไม่เน้นการท่องจำ เหล่านักเรียนจะถูกสอนให้ตั้งแง่กับคำกล่าวอ้างที่มาจากผู้อื่นอยู่เสมอ และคิดข้อเสนอแนะของตัวเองขึ้นมา ดังนั้นในการทำแบบนี้ ระบบจะต้องทำการปลูกฝังความเคารพในตัวเองให้กับพวกเขา และเคารพในความคิดเห็นของคนอื่นๆ ด้วย
ในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และ ความสามารถในการคิดริเริ่ม เองก็เป็นความสามารถที่จะช่วยมอบประโยชน์และจำเป็นสำหรับการมีส่วนร่วมในสังคมด้วย ซึ่งถ้าเทียบกับความสามารถในการจดจำประโยคต่างๆ จากหนังสือเรียนนั้นถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย
4. ระบบการศึกษาที่ไม่ได้วัดความเก่งกันที่คะแนนสอบ หรือเกรด
ในประเทศเดนมาร์กนั้นผู้คนจะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่นักเรียนในโรงเรียนและนักศึกษาในมหาวิทยาลัยจะต้องมีความสนุกกับการเรียน ไม่ได้เห็นว่าการเรียนเป็นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากที่ไม่มีที่สิ้นสุดและรอคอยเพียงวันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้น
สับหรับชาวเดนมาร์กที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น หากยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิตดี หรือมีปัญหาในการเข้าสังคมได้อย่างยากลำบาก ระบบการศึกษาจะช่วยสร้างโอกาสให้พวกเขาเข้าเรียนในคลาสหลังการเรียนหรือ After School นั่นเอง เพื่อช่วยค้นหาความเป็นตัวของตัวเองของพวกเขา
พวกเขาจะได้รับการสนับสนุนให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่พยายามต่อสู้ที่จะปรับตัวเองให้มีชีวิตอยู่ในสังคมได้ในที่สุด
5. ทุกๆ คนควรได้รับสิทธิ์ที่เท่าเทียมกัน
ประเทศเดนมาร์กนั้นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเก็บภาษีสูงมาก แต่มีประชากรเพียง 11% เท่านั้นที่มองว่าการมีรายได้ประจำเดือนเยอะๆ นั้นเป็นปัจจัยที่สำคัญ และนำมาเป็นตัวตัดสินใจที่จะเข้าทำงานในองค์กรต่างๆ
กล่าวคือการดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองร่ำรวยนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้ จึงทำให้การเลือกอาชีพนั้นไม่ได้ตรงตามความถนัดหรือความสนใจของแต่ละคนจริงๆ แต่ทำเพื่อเงิน และกลายเป็นว่าพวกเขาไม่ได้มีสิทธิ์ที่จะเลือกอาชีพด้วยตัวเองเพราะปัจจัยเหล่านี้ และนั่นคือสิ่งที่รัฐบาลของประเทศตระหนักเป็นอย่างดี
ทางรัฐบาลจึงมีบริการทางสังคมที่จัดขึ้นไว้เพื่อให้คำปรึกษาแก่เหล่านักเรียนขึ้นมา เพื่อให้พวกเขาได้ปรึกษาก่อนที่จะเลือกเรียนในระดับการศึกษาที่สูงขึ้นไปหรือเลือกเรียนในวิชารอง เพื่อเตรียมพร้อมไว้สำหรับอนาคตข้างหน้า
ซึ่งในระดับการเรียนการสอนที่สูงขึ้นไป การนัดเจอกันระหว่างกลุ่มนักเรียนกับคุณครูเพื่อปรึกษาแผนการในอนาคตของแต่ละคนจึงเป็นเรื่องที่ปกติธรรมดามาก
และอีกหนึ่งปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ก็คือนักเรียนทุกคนไม่ต้องคำนึงถึงสถานะทางบ้านของตัวเองเลยแม้แต่น้อย เพราะภาษีของประเทศนั้นทำให้พวกเขาได้รับเงินอย่างเพียงพอที่จะครอบคลุมทั้งด้านการศึกษาและค่าใช้จ่ายในชีวิตของพวกเขาจนสามารถตั้งตัวได้เลยทีเดียว
ที่มา: Catdumb, brightside