สำหรับภาษาอังกฤษนั้น ก็เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในภาษาที่มีคนใช้กันมากที่สุดในโลกเลยล่ะ แต่ที่หลักๆ ก็จะมีสำเนียงแบบ British และแบบ American ครับผม
ซึ่ง คำศัพท์ การสะกด และการออกเสียงนั้นจะค่อนข้างมีความแตกต่างกัน จนเราเห็นกันได้ชัดเลยล่ะ ซึ่งคนไทยส่วนมากก็จะคุ้นเคยกับสำเนียง American มากกว่า
วันนี้เราเลยจะพาเพื่อนๆ มาดูความแตกต่างระหว่างภาษาอังกฤษทั้ง 2 สไตล์นี้กันนะครับ ว่าแล้วเราลองมาชมกันดูนะจ๊ะ
คำศัพท์ (ซ้ายเป็นแบบ American และขวาเป็นแบบ British)
Analyze – Analyse วิเคราะห์
Apologize – Apologise ขออภัย
Behavior – Behaviour ความประพฤติ
Canceling – Cancelling ยกเลิก
Center – Centre ตรงกลาง
Check – Cheque ใบสั่งจ่ายเช็ค
Color – Colour สี
Gray – Grey สีเทา
License – Licence ใบอณุญาต
Jewelry – Jewellery เพชรพลอย
พอ จะเห็นความแตกต่างกันรึยังจ๊ะ เห็นได้ชัดกันเลยว่าไสตล์ American จะค่อนข้างง่ายกว่าเพราะตัดตัวสะกดให้สั้น และความที่เราเรียนมาในระบบนี้ จึงทำให้ดูง่ายกว่านั้นเองครับ ทีนี้มาจำแนกเป็นแต่ละแบบเลยแล้วกัน
– คำที่ต้องลงท้ายด้วย RE ในแบบ British จะเปลี่ยนเป็น ER ในแบบ American เช่น Centre – Center
– คำที่ต้องลงท้ายด้วย Ough แล้วไม่ออกเสียงในแบบ British จะเปลี่ยนไปสะกดตามเสียงในแบบ American เช่น Doughnut – Donut
– คำที่ต้องลงท้ายด้วย OUR ในแบบ British จะเปลี่ยนเป็น OR ในแบบ American เช่น Colour – Color
– คำที่ต้องลงท้ายด้วย IOUR ในแบบ British จะเปลี่ยนเป็น IOR ในแบบ American เช่น Behaviour – Behavior
– คำที่ต้องลงท้ายด้วย YSE หรือ ISE ในแบบ British จะเปลี่ยนเป็น YZE หรือ IZE ในแบบ American เช่น Analyse – Analyze
– คำที่ต้องลงท้ายด้วย YSED หรือ ISED ในแบบ British จะเปลี่ยนเป็น YZED หรือ IZED ในแบบ American เช่น Apologise – Apologize
– คำที่ต้องลงท้ายด้วย ISATION ในแบบ British จะเปลี่ยนเป็น IZATION ในแบบ American เช่น Colonisation – Colonization
ที นี้เราก็รู้ความต่างของภาษาอังกฤษแต่ละสไตล์กันแล้วนะครับ จะใช้แบบไหนก็หันมาใช้กันให้ถูกในแบบนั้นๆ นะครับ อย่าใช้ปนกัน จะทำให้ภาษาของเราดูดีขึ้นมากๆ เลยล่ะครับ อิอิ
ไว้เรามาชมสาระดีๆ เกี่ยวกับการศึกษากันแบบนี้ได้ใหม่กับ ScholarShip.in.th นะครับผม
Source: Myfirstbrain