เคยมั้ยคะเพื่อนๆ เวลาต้องเล่าเรื่องเป็นภาษาอังกฤษ หรือไปสัมภาษณ์งานก็ตาม แล้วต้องพูดถึงคนนั้นคนนี้ที่อ้างอิงในเนื้อหาที่เราเล่า พูดไปก็งงตัวเองไปในบางที วันนี้เรามีสิ่งดีๆมาฝากเพื่อนๆที่จะช่วยให้ทุกคนเล่าเรื่องได้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้นนั่นเองจ้า
Direct and Indirect Speech
ในบางครั้ง เราอาจจะต้องยกคำพูดของคนอื่นขึ้นมาพูด ซึ่งการพูดในลักษณะนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกันคือ Direct speech และ Indirect speech
1. Direct speech – คือ การยกเอาคำพูดคนอื่นมาพูดแบบตรงๆ โดยไม่มีการเปลี่ยนโครงสร้างของประโยคแต่อย่างใด ประโยคแบบนี้จะมีตัวช่วยตัวหนึ่งคือ เครื่องหมาย Quotation mark หน้าตาเป็นแบบนี้ “……” ตัวอย่างเช่น
- Emma said, “I will wash all the dishes.”
หรือสลับตำแหน่งกันก็ได้ “ I will wash all the dishes,” Emma said.
** ข้อสังเกตก็คือ หลังประโยคหลักจะคั่นด้วย comma เสมอ และประโยคในเครื่องหมาย quotation mark จะขึ้นต้นด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เสมอ แต่ในประโยคตัวอย่างที่สองถ้าเอาประโยคที่เป็นคำพูดไว้ด้านหน้าและใส่ชื่อคนพูดไว้ด้านหลัง เวลาที่จบประโยคในเครื่องหมายคำพูดให้ใส่ comma แล้วค่อยปิดท้ายด้วย quotation mark แล้วจึงใส่ชื่อคนพูด ตบท้าย
2. Indirect speech – คือ การยกเอาคำพูดของผู้อื่นขึ้นมาพูด ลักษณะเหมือนเป็นการรายงานหรือปรับรูปประโยคให้เป็นเหมือนคำพูดของผู้เล่าเอง ในลักษณะนี้จึงมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประโยคเดิม Indirect speech แบ่งออกเป็น 3 ประเภทด้วยกันคือ
2.1 Indirect speech – statement คือการรายงานประโยคบอกเล่าหรือปฏิเสธ
2.2 Indirect speech – commands, requests and suggestions คือ การรายงานประโยคที่เป็นประโยคขอร้อง ประโยคคำสั่ง หรือ ขออนุญาต
2.3 Indirect speech – question คือการรายงานประโยคที่เป็นคำถาม
หลักการเปลี่ยน Indirect speech – statement
ในการเปลี่ยนจาก direct speech เป็น indirect speech นั้น วิธีการและขั้นตอนยุ่งยากเอาการพอสมควร เพราะต้องมีการเปลี่ยนโครงสร้างประโยค โดยเฉพาะเปลี่ยน tense ของประโยคที่เขาพูดมา และต้องเอา comma ออก แล้วใส่ said that หรือบางครั้งอาจจะใช้ complained that, admitted that แล้วแต่กรณี ดังนี้
Present simple tense ———->> past simple tense
เช่น
Direct speech : The officer said, “We work for the town council.”
Indirect speech : They said they worked for the town council.
Present continuous tense ————>> past continuous tense
เช่น
Direct speech : Marry said, “I’m doing the washing.”
Indirect speech : Marry said she was doing the washing.
Past simple tense ————->> past perfect tense
เช่น
Direct speech : He said, “I decided to leave earlier today.”
Indirect speech : He said he had decided to leave earlier that day.
Past continuous tense —–>> past perfect continuous tense
เช่น
Direct speech : She said, “I wasn’t telling the truth.”
Indirect speech : She admitted that she hadn’t been telling the truth.
Present perfect tense ———->> past perfect tense
เช่น
Direct speech : She said, “My guest haven’t arrived yet.”
Indirect speech : She said her guest hadn’t arrived yet.
Future simple tense (will) —–>> Future (past form) tense (would)
เช่น
Direct speech : She said, “I will submit my homework tomorrow.”
Indirect speech : She said she would submit her homework the following day.
Can ————->> could
เช่น
Direct speech : Tom said, “I can’t say any more.”
Indirect speech : Tom said he couldn’t say any more.
May ———–>> might
เช่น
Direct speech : The manager said, “The company may cancel the trip.”
Indirect speech : The manager said the company might cancel the trip.
** แต่ในกรณีที่ข้อความนั้นหรือความรู้สึกนั้นเป็นความจริงเสมอ หรือยังเป็นความจริงอยู่ในขณะนั้น เมื่อนำคำพูดมารายงานจะไม่มีการเปลี่ยน tense ของประโยค นอกจากจะเปลี่ยน tense แล้ว ยังมีการเปลี่ยนคำสรรพนาม คำบอกเวลา หรือคำแสดงระยะจากใกล้เป็นไกลด้วย ตัวอย่างเช่น
Year / month ago ———-> year / month before
Next…(week/month/year) ———-> the following ……
Now —————-> then, at that time
Today —————> that day
Tomorrow —————> the following day
Yesterday —————-> the day before
Here ——————-> there
This ————-> that
These ————–> those
ตัวอย่างเช่น
Direct speech : Sarah said, “I arrived here an hour ago.”
Indirect speech : Sarah said (that) she had arrived there an hour before.
Direct speech : The students said, “We will start our course next month.”
Indirect speech : The students said they would start their course the following month.
ที่มา: pasaangkit