ใต้พื้นผิวของดาวอังคารมีน้ำแข็งขนาดมหึมาถูกกักเก็บไว้อยู่ แต่น้ำแข็งนั้นจะมีความบริสุทธิ์แค่ไหน ความลึกเท่าไหร่ แล้วรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร สิ่งเหล่านั้นยังคงเป็นปริศนาคาใจนักธรณีวิทยาดาวเคราะห์อยู่
และเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อนักวางแผนภารกิจเช่นกัน เพราะไม่ว่าผู้ที่เดินทางไปเยือนดาวอังคารจะเป็นเพียงผู้ตั้งถิ่นฐานในระยะสั้นหรือระยะยาวก็ตาม จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำความเข้าใจถึงปริมาณน้ำสำรองใต้ดินของดาวเคราะห์หากพวกเขาต้องการจะทำเหมืองเพื่อการดื่มกิน การเพาะปลูกพืชผล หรือแปลงไฮโดรเจนสำหรับเป็นเชื้อเพลิง
ทว่าปัญหาเหล่านี้คือ สิ่งสกปรก ก้อนหิน สารปนเปื้อนในระดับพื้นผิวอื่นๆ ที่ทำให้ยากยิ่งต่อการศึกษา แม้ว่านักสำรวจดาวอังคารสามารถทำการขุดเจาะพื้นผิวได้และใช้การอุปกรณ์เรดาร์ทำให้นักวิจัยสามารถทราบถึงรายละเอียดที่อยู่ลึกไปนับสิบเมตรได้ แต่ลึกกว่า 20 เมตรแรกนั้นยังไม่อาจพรรณนาถึงคุณลักษณะพิเศษได้
โชคดีที่ดินมีการกัดกร่อน ทำให้ค้นหาตำแหน่งที่ตั้งของที่ดินโล่งเตียนและมุ่งตรงไปที่ชั้นใต้ดินของดาวอังคาร ที่ซึ่งมีน้ำแข็งซ่อนอยู่ เป็นผลให้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบตำแหน่งนั้นในหลายพื้นที่ โดยความช่วยเหลือจาก HiRISE กล้องที่มีประสิทธิภาพบนยานสำรวจดาวอังคารของ NASA
ตะกอนเริ่มต้นที่ระดับความลึกเท่ากับหรือสูงกว่า 1 เมตร และขยายไปถึง 100 เมตร ซึ่งนักวิจัยไม่ได้คำนวณปริมาณน้ำแข็งที่มีอยู่ แต่พวกเขาบันทึกกลุ่มก้อนของน้ำแข็งที่อยู่ใกล้กับพื้นผิวมีแนวโน้มกว้างใหญ่แพร่หลายกว่าบริเวณสองสามแห่งที่มีการสำรวจไปแล้ว
ความน่าสนใจสำหรับนักวางแผน ISRU คือความลึกและอัตราส่วนของน้ำแข็งบริสุทธิ์ที่ผสมกับเศษผิวเปลือกของดาวอังคาร ยิ่งน้ำแข็งมีความเก่าแก่และอยู่ใกล้กับพื้นผิวมากเท่าใด พลังงานที่ใช้ในการสกัดและการนำไปใช้ยิ่งน้อยลงเท่านั้น
น้ำแข็งที่พบในครั้งนี้ไม่ใสเหมือนผลึกแก้ว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การเฝ้าสังเกตการณ์แสดงให้เห็นว่าน้ำแข็งกำลังค่อยๆ สลายน้ำสู่ชั้นบรรยากาศผ่านกระบวนการที่เรียกว่าการระเหิด ก้อนหินและตะกอนจะหลุดออกจากน้ำแข็งขณะที่มันค่อยๆ ลดลง
Dundas และเพื่อนร่วมงานของเขาตั้งสมมติฐานว่าน้ำแข็งเกิดขึ้นจากหิมะที่ตกลงไปในคลื่นเมื่อนับล้านปี และอาจพบก้อนหินบางชนิดในระหว่างที่หิมะตก และนักวิจัยคิดว่าน้ำแข็งที่อยู่รอบๆ นี้ค่อนข้างมีความสะอาดอยู่พอตัว
ที่มา www.wired.com