แหมมมม เห็นหัวข้อละเพื่อนๆ ชาว ScholarShip.in.th คงตกใจล่ะสิว่าอยู่ๆทำไมเศรษฐีชาวจีนคนนี้นึกยังไงถึงส่งลูกชายไปอยู่ในชนบทได้ ไปดูพร้อมๆกันค่ะว่าทำไม
คำตอบก็คือเขาอยากให้ลูกชายของเขาเติบโตและเรียนรู้ถึงความยากจน เขาส่งลูกชายไปอยู่กับครอบครัวยากจนครอบครัวหนึ่งเป็นเวลา 3 ปี หลังจากนั้นเด็กชายคนนี้ก็เดินทางกลับมาบ้าน และสิ่งที่เขาพูดกับผู้เป็นพ่อ…
พ่อ: เป็นยังไงบ้างล่ะ?
ลูกชาย: ผมคิดว่ามันก็ดีนะ
พ่อ: ลูกคิดว่าบ้านของพวกเขาต่างจากบ้านของเรายังไงล่ะ?
ลูกชาย: โอ้โหวววว พ่อรู้มั้ยว่ามีหลายสิ่งมากมายที่แตกต่างเลยล่ะ (ลูกชายพูดด้วยความตื่นเต้น) พวกเราอยู่ด้วยกัน 4 คน และมีหมา 1 ตัว มีสระน้ำที่มีน้ำใสสะอาดบริสุทธ์มากและใหญ่มากๆด้วย พ่อรู้มัยว่ามีปลาอยู่ในนั้นด้วยนะ!!
ลูกชายยังพูดต่อว่า
ตอนกลางคืนกเห็นพระจันทร์ดวงใหญ่และดวงดาวมากมายเต็มท้องฟ้าเลย มันสวยมากๆเลยครับ! นอกจากนั้นนะ บ้านเรามีสวนที่มีกำแพงกั้นไว้ แต่พ่อรู้มั้ยว่าที่นั่นไม่มีอะไรมากั้นไว้เลย พวกเราวิ่งเล่นไปทั่วทุกที่เลยล่ะ
เด็กชายหยุดหายใจพักหนึ่ง และเล่าต่ออย่างตื่นเต้นว่า
อยู่บ้านเรา เราก็ได้ฟังแต่เพลงจากซีดี แต่อยู่ที่นู้น พวกเราฟังเสียงนกร้องเพลงในป่าและฟังเสียงธรรมชาติรอบตัว อีกอย่างบ้านเรามีกำแพงกั้นเพื่อนบ้านเอาไว้ แต่พวกเขาอยู่กันอย่างเป็นมิตร พร้อมต้อนรับเพื่อนบ้านเสมอ เพราะงั้นเขาเลยเปิดประตูบ้านไว้ตลอดเลยล่ะ
ที่นู้นไม่มีมือถือและคอมพิวเตอร์ไว้ติดต่อกันเหมือนบ้านเราหรอก พวกเขาอยู่กับธรรมชาติ กับครอบครัว และเพื่อนบ้าน
จากนั้นผู้เป็นพ่อก็ต้องประหลาดใจอย่างมากเมื่อลูกชายพูดว่า “ขอบคุณนะครับพ่อ ที่ทำให้ผมรู้ถึงความยากลำบาก”
พ่อจึงถามว่า “แล้วลูกอยู่ที่นั่น มีความสุขมั้ย?”
ลูกชายตอบพร้อมรอยยิ้มทันทีว่า “ผมมีความสุขมากครับ”
พ่อยิ้มและพูดต่อว่า “ผู้คนที่น่าสงสารจริงๆคือคนที่มีแคเงินอย่างเดียว ลูกรู้มัยว่า ชีวิต ความสุข และธรรมชาติ คือสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้เลย เพราะสิ่งเหล่านั้นมีคุณค่ามากเกินกว่าค่าของเงินซะอีก และสิ่งที่ลูกได้รับตลอด 3 ปีที่ผ่านมา คือสิ่งที่เงินไม่มีวันซื้อได้ ดังนั้น 3 ปีที่ผ่านมา คือ 3 ปีที่ลูกรวยที่สุดในชีวิตแล้วนะ”
เรื่องเล่านี้เขียนขึ้นโดยคนเขียนชาวจีนนิรนามคนหนึ่ง ในเวอร์ชั่นจีนคงยาวและน่าประทับใจกว่านี้ และเพื่อนๆก็คงจะเห็นด้วยกับข้อคิดของเรื่องเล่าที่แสนประทับใจนี้เช่นกันใช่มั้ยคะ :D
ที่มา: lifehack