หลังจากที่เราได้นำเสนอเกี่ยวกับ 23 ‘มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์’ ในด้านต่างๆ ที่ได้ส่งผลและมีอิทธิพลจนถึงปัจจุบันกันไปแล้ว
(อ่านบทความย้อนหลังได้ที่นี่: นี่คือ 23 ‘มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์’ ที่คุณควรรู้จัก ทั้งการเมือง ดนตรี กีฬา และด้านอื่นๆ)
วันนี้เราจึงอยากพาทุกคนมารู้จักกับ 12 สตรีผู้มีอำนาจเปลี่ยนโลกกันบ้าง! พวกเธอคือผู้ที่สร้างพลังและเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมประเพณีเดิมๆ จนกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ จะมีใครบ้างก็เชิญรับชมได้เลย!
#1 Jane Austen (1775 – 1817)
“The person, be it gentleman or lady, who has not pleasure in a good novel, must be intolerably stupid.”
นักเขียนวรรณกรรมสุดคลาสสิกเกี่ยวกับบทบาทของผู้หญิงในสังคม เช่น Pride และ Prejudice และ Sense and Sensibility ซึ่งอิทธิพลทางวรรณกรรมของเธอยังคงอยู่ และถูกใช้เป็นบทเรียนในปัจจุบันด้วยเช่นกัน
#2 Anne Frank (1929 – 1945)
“How wonderful it is that nobody need wait a single moment before starting to improve the world.”
The Diary of Anne Frank เป็นหนึ่งในเรื่องราวที่มีพลังและสะเทือนใจที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 2 Ann ได้เขียนไดอารี่บอกล่าเรื่องราวของครอบครัวชาวยิวของเธอที่ถูกส่งตัวไปยังค่ายกักกัน โดยมีพ่อของเธอที่รอดออกมาได้ และเผยแพร่หนังสือเล่มนี้
#3 Maya Angelou (1928 – 2014)
“I’ve learned that people will forget what you said, people will forget what you did, but people will never forget how you made them feel.”
หนึ่งในผู้หญิงที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา เป็นนักร้อง นักเขียน และนักกิจกรรมด้านสิทธิพลเมือง ผู้เขียนหนังสือ I Know Why the Caged Bird Sings สร้างประวัติศาสตร์เป็นวรรณกรรมสารคดียอดนิยมโดยผู้หญิงแอฟริกัน-อเมริกัน
#4 Queen Elizabeth I (1533 – 1603)
“Though the sex to which I belong is considered weak you will nevertheless find me a rock that bends to no wind.”
หนึ่งในสตรีที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ เธอเรียกตัวเองว่า ‘The Virgin Queen’ เพราะได้เลือกที่จะแต่งงานกับประเทศของเธออย่างอังกฤษแทนที่จะเป็นผู้ชาย และเธอก็ได้ผลักดันประเทศอังกฤษให้เป็นหนึ่งในมหาอำนาจยุโรปที่สำคัญทั้งด้านการเมือง การค้า และศิลปะ
#5 Catherine the Great (1729 – 1796)
“Power without a nation’s confidence is nothing.”
Prussian-born Queen คนนี้คือหนึ่งในผู้หญิงที่โหดเหี้ยมในประวัติศาสตร์ เธอไม่ยอมตกอยู่ในการแต่งงานกับชายที่เธอไม่ได้รัก เธอจึงจัดทำรัฐประหารและปลงพระชนสามีอย่าง Peter III และได้แต่งตั้งตนเองเป็น Empress of the Russian Empire ในปี 1762
เธอทำให้ประเทศรัสเซียมีความทันสมัย ฟื้นฟูให้แข็งแกร่ง จัดตั้งโรงเรียนรัฐขึ้นเป็นแห่งแรกที่สนับสนุนเด็กผู้หญิง รวมถึงการพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า และศิลปะ
#6 Sojourner Truth (1797 – 1883)
“Truth is powerful and it prevails.”
อีกหนึ่งผู้หญิงผิวสีผู้มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์อเมริกา เธอเป็นทั้งนักกิจกรรม และนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิสตรีชาวแอฟริกัน-อเมริกัน
เธอยังเป็นเจ้าของผู้กล่าวสุนทรพจน์ที่มีชื่อเสียงในการประชุมสิทธิสตรีที่โอไฮโอในปี 1851 ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันดีภายใต้ชื่อว่า “Ain’t I a Woman?”
#7 Rosa Parks (1913 – 2005)
“I would like to be remembered as a person who wanted to be free… so other people would be also free.”
จากเหตุการณ์ในอดีตที่เธอถูกบังคับให้ให้ที่นั่งกับชายผิวขาวขณะอยู่บนรถบัส ทำให้เธอถูกจับเพราะไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการแบ่งแยกผิวสี
เธอจึงได้กลายเป็นนักกิจกรรมเพื่อเรียกร้องสิทธิพลเมืองให้กับคนผิวสีในสหรัฐอเมริกา การกระทำของเธอเป็นจุดเล็กๆ ที่สั่นคลอนอำนาจทั้งอำนาจคนขาวและโครงสร้างชายเป็นใหญ่ในสหรัฐอเมริกา
#8 Malala Yousafzai (1997 – )
“I tell my story not because it is unique, but because it is the story of many girls.”
Malala Yousafzai เกิดที่ปากีสถาน โดยพ่อของเธอเป็นคุณครูและเปิดโรงเรียนหญิงล้วนขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อกลุ่ม Taliban ได้ยึดครองเมืองที่เธออาศัยอยู่ ทำให้เด็กผู้หญิงไม่ได้รับการศึกษา
Malala ในวัย 15 ปีจึงเปิดเผยเรื่องราวต่อสาธารณชนถึงสิทธิสตรี และการศึกษาที่พวกเธอควรจะได้รับ นั่นจึงทำให้เธอถูกลอบยิงที่ศีรษะและคอบนรถบัสขณะกลับบ้าน
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รอดชีวิตมาได้ และได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพด้วยอายุที่น้อยที่สุดในวัยเพียง 18 ปี
#9 Marie Curie (1867 – 1934)
“Nothing in life is to be feared, it is only to be understood. Now is the time to understand more, so that we may fear less.”
นักฟิสิกส์และนักวิทยาศาสตร์ชาวโปแลนด์ ผู้บุกเบิกการศึกษากัมมันตภาพรังสีและได้ค้นพบธาตุใหม่สองชนิดนั่นคือเรเดียมและพอโลเนียม จนพัฒนากลายเป็นเครื่องเอ็กซเรย์พกพาได้
Marie ยังเป็นคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบล 2 รางวัลในสองสาขาคือฟิสิกส์ และเคมี และจนถึงทุกวันนี้เธอก็เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับรางวัลโนเบลใน 2 สาขาทางด้านวิทยาศาสตร์
#10 Ada Lovelace (1815 – 1852)
“That brain of mine is something more than merely mortal; as time will show.”
นอกจากเธอจะเป็นนักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษแล้ว เธอยังถือเป็นนักโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลกอีกด้วย เธอเป็นคนแรกที่เคยตีพิมพ์อัลกอริทึมสำหรับคอมพิวเตอร์
ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผลงานของเธอเป็นที่ประจักษ์หลังเธอเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในวัย 36 ปี ผลงานเกี่ยวกับ Babbage’s Analytical Engine ของเธอถูกยอมรับว่าเป็นคำอธิบายแรกเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์
#11 Edith Cowan (1861 – 1932)
“Women are very desirous of their being placed on absolutely equal terms with men. We ask for neither more nor less than that.”
ใบหน้าของเธอถูกตีพิมพ์อยู่ในธนบัตร 50 ดอลลาร์ของออสเตรเลีย อีกทั้งยังมีมหาวิทยาลัยตั้งชื่อตามเธอในออสเตรเลียตะวันตก เธอคนนี้คือสมาชิกรัฐสภาหญิงคนแรกของออสเตรเลีย และนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิสตรีตั้งแต่อายุยังน้อย
ในช่วงเวลาที่เธออยู่ในรัฐสภา เธอได้ผลักดันให้มีการออกกฎหมายส่งเสริมผู้หญิงด้านวิชาชีพ สวัสดิการ การอพยพ และการสอนเรื่องเพศศึกษา ทำให้ผู้เป็นแม่มีความเท่าเทียมกับผู้เป็นพ่อ เหล่านี้กลายเป็นมรดกจนถึงปัจจุบัน
#12 Amelia Earhart (1897 – 1939)
“Women must try to do things as men have tried. When they fail, their failure must be but a challenge to others.”
นักบินชาวอมริกันที่กลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่บินเดี่ยวข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก และยังเป็นผู้หญิงคนแรกที่บินเดี่ยวจากฮาวายไปยังสหรัฐอเมริกา Amelia คือนักบินหญิงผู้บุกเบิกอย่างแท้จริง!
ตั้งแต่เด็กๆ เธอไม่ต้องการถูกระบุเพศของเธอ อีกทั้งยังเล่นบาสเก็ตบอล เข้าเรียนหลักสูตรซ่อมรถยนต์ และตัดสินใจเรียนหัดขับเครื่องบิน และสร้างสถิติด้านการบินอยู่หลายครั้ง
เธอพยายามที่จะสร้างสถิติบินรอบโลก ซึ่งนำไปสู่การหายตัวไปของเธอซึ่งสันนิษฐานกันว่าน่าจะเสียชีวิตบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกราวปี 1937 และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใครค้นพบซากเครื่องบินและร่างของเธอ เป็นหนึ่งในปริศนาที่จะอยู่กับโลกนี้ไปตลอดกาล
ที่มา: marieclaire