ในปัจจุบันนี้ก็เรียกได้ว่ามีนักศึกษาชาวไทยนิยมไปศึกษาต่างประเทศกันค่อนข้างมาก ส่วนหนึ่งเพราะการเข้าถึงทุนการศึกษา ที่มีโอกาสมากกว่าในปัจจุบัน และแน่นอนความต้องการทางด้านบุคลากรที่ได้ผลักดันให้นักศึกษาไปเรียนต่อกันที่ต่างประเทศ และแน่นอน UK และ US คงเป้นอันดับต้นๆ ที่ติดเข้ามา
สำหรับทั้งสองประเทศก็เรียกได้ว่าเป็นแลนมาร์กแห่งการเรียนต่อของนักศึกษาต่างชาติเลยก็ว่าได้ และวันน้เราจะมาชี้ให้เห็นถึงข้อดีข้อเสียว่า เรียนต่อที่ไหนจะดีกว่ากันสำหรับเพื่อนๆ
สำหรับทั้งสองประเทศก็เรียกได้ว่ามสถิติที่น่าสนใจเลยทีเดียว ซึ่งจะเห็นได้ชัดเลยว่า จำนวนนักศึกษาต่างชาติที่มาเรียนต่อในอเมริกาเพิ่มขึ้นทุกปีอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และจากการสำรวจของ The Institute for International Education พบว่าในปี 2012 ในอเมริกามีนักศึกษาต่างชาติมากถึง 723,000 คนเลยทีเดียว
ส่วนสหราชอาณาจักรนั้น มีจำนวนนักศึกษาต่างชาติราว 428,225 คน (ข้อมูลปี 2009-2010) ซึ่งถึงแม้จะน้อยกว่าในอเมริกา แต่เมื่อเทียบเป็นสัดส่วนแล้ว สหราชอาณาจักรถือว่ามีนักศึกษาต่างชาติอยู่ 17% ของนักศึกษาทั้งหมด ในขณะที่อเมริกามีนักศึกษาต่างชาติอยู่ประมาณ 3% (สัดส่วนน้อยกว่าแต่ปริมาณเยอะกว่าเกือบเท่าตัวเลยล่ะ)
สถาบันการศึกษายอดนิยมเทียบกันแบบมหาวิทยาลัยต่อมหาวิทยาลัย
ในส่วนของการเลือกโปรแกรมของนักศึกษาชาวต่างชาติในประเทศเหล่านี้นั้น แม้ว่าสาขาวิชาอย่าง MBA, MBBS หรือ Masters in Engineering จะเป็นสาขาวิชาที่นักศึกษาต่างชาติส่วนใหญ่นิยมมาเรียนต่อที่อังกฤษและอเมริกา แต่ถ้าศึกษาให้ดีแล้วคุณจะพบว่ามีหลักสูตรน่าสนใจอีกมากมายที่เปิดสอนในต่างประเทศ
เทรนด์ของโลกทุกวันนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางกำลังเป็นที่ต้องการตัวมากขึ้นในตลาดแรงงาน คอร์สอย่างเช่น การลดใช้ปริมาณคาร์บอน การอนุรักษ์วัตถุโบราณ การดูแลป่าไม้เขตร้อน ฯลฯ จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย ที่สำคัญคือคุณควรจะเลือกเรียนในสาขาวิชาที่ตรงกับความสนใจของตัวเอง และสามารถนำไปต่อยอดใช้ประโยชน์ในการทำงานได้จริง ไหนๆ ก็เสียเงินและเวลามาแล้วควรจะพิจารณาให้รอบคอบ เพื่อการเลือกที่เกิดประโยชน์สูงสุดกับอนาคตอย่างแท้จริง
สำหรับการเลือกสถานที่เรียนนั้น ข้อมูลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลกโดยหน่วยงานต่างๆ ก็ถือว่าเป็นตัวช่วยที่ดีในการคัดกรอง แต่สิ่งหนึ่งที่อยากให้พิจารณาประกอบกันไปก็คือ การจัดอันดับที่เฉพาะเจาะจงไปในสาขาวิชาที่คุณเล็งไว้นะจ๊ะ ต้องดูต้องศึกษาดีๆ จากหลายๆ แหล่ง จะได้ตัวเลือกที่ดีที่สุดนั่นเอง
ค่าใช้จ่ายของทั้งสองประเทศนั้น เรียกว่ามีส่วนดีส่วนเสียกันคนละด้าน กล่าวคือ โดยเฉลี่ยแล้วค่าใช้จ่ายที่อังกฤษจะค่อนข้างถูกกว่าอเมริกา และมีทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษาต่างชาติเยอะกว่า แต่ถ้าเป็นค่าครองชีพโดยรวมๆ ที่อเมริกาจะประหยัดกว่าอังกฤษอยู่พอสมควร และสำหรับการทำงานพิเศษนอกเวลาเรียนนั้น ทั้งสองประเทศอนุญาตในนักศึกษาต่างชาติทำงานได้สัปดาห์ละ 20 ชั่วโมงเหมือนกัน อันนี้ต้องตัดสินใจกันดีๆ นะจ๊ะ
สำหรับสหราชอาณาจักร ในส่วนของวิถีชีวิต อังกฤษขึ้นชื่อในเรื่องฝนตกบ่อยมาก แม้จะตกไม่หนักมากแต่ก็ตกถี่ บรรยากาศจึงค่อนข้างอึมครึมมืดครึ้มเสียเป็นส่วนใหญ่ ด้านของผู้คนโดยทั่วไปชาวอังกฤษก็เป็นมิตรกับชาวต่างชาติดี บางคนหน้าตาอาจจะดูหยิ่งๆ ไปบ้างตามสไตล์ผู้ดีอังกฤษ ถ้าอยู่ในเมืองใหญ่อย่างเช่น ลอนดอน ก็จะได้เจอกับเพื่อนนักเรียนหลากหลายเชื้อชาติเลยทีเดียว
สำหรับคนชอบเที่ยว ถ้าชอบบรรยากาศแบบเมืองเก่า สถาปัตยกรรมโบราณ ที่ดูขลังๆ หน่อย ก็จะต้องถูกใจดินแดนสหราชอาณาจักรอย่างแน่นอน นอกจากนี้ก็ยังสามารถตระเวนไปเที่ยวได้ทั่วทั้งอังกฤษ สก็อตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ โดยไม่ต้องขอวีซ่าเพิ่มเติม หรือถ้าอยากจะโฉบไปแถวยุโรปที่อยู่ไม่ห่างกันมาก บางประเทศสามารถเดินทางไปได้ด้วยรถไฟในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ต้องขอวีซ่าเชงเก้น (Schengen Visa) เพิ่มเติมเพียงเท่านั้น
มาดูในส่วนของชีวิตนักศึกษาในสหรัฐอเมริกากันบ้าง…อเมริกาเป็นประเทศที่มีอาณาเขตกว้างขวางมาก หากชอบภูมิประเทศแบบไหนเป็นพิเศษก็สามารถเลือกไปเรียนต่อที่รัฐนั้นๆ ได้ตามใจชอบ ส่วนด้านมนุษสัมพันธ์ของผู้คนนั้นในอเมริกาไม่มีใครเป็นคนแปลกหน้า โดยทั่วไปชาวอเมริกันมักจะมีนิสัยสบายๆ มีท่าทีที่เป็นมิตรและเปิดกว้าง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีผู้คนหลากหลายจากทั่วทุกมุมโลกมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่เป็นระยะเวลานานแล้วนั่นเอง
สำหรับการเดินทางในอเมริกาก็สะดวกสบายไม่แพ้อังกฤษเช่นกัน ถ้าเป็นเมืองใหญ่อย่างเช่น นิวยอร์ค จะมีทั้งรถไฟใต้ดินและรถบัสให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ตามเมืองเล็กๆ ส่วนใหญ่ก็จะมีรถบัส แต่บางเมืองอาจต้องรอรถนานหน่อย นักศึกษาตามเมืองชนบทจึงมักมีจักรยานเป็นยานพาหนะประจำตัว เช่น จักรยานเป็นต้น
และถ้าหากใครเป็นคนชอบเที่ยวก็น่าจะถูกใจอเมริกาไม่น้อยทีเดียว ด้วยความที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล อเมริกาจึงเป็นดินแดนที่รวมภูมิประเทศอันหลากหลายเอาไว้อย่างครบครัน มีทั้งป่าไม้ ทะเลทราย ชายหาดสำหรับโต้คลื่น ฯลฯ มีแลนด์มาร์คเจ๋งๆ ให้แวะไปเช็คอินเพียบ ใครอยากเรียนไปแบคแพคไปด้วยรับรองว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนเลยล่ะ!!!
ทีนี้เพื่อนๆ ก็พอทราบข้อมุลคร่าวๆ เกี่ยวกับการเรียนต่อของทั้งสองประเทศกันแล้วนะจ๊ะ หวังว่าเพื่อนๆ จะสามารถเลือกประเทศและมหาวิทยาลัยที่เหมาะสมกับตัวเองได้ล่ะ อิอิ
Source: Hotcourse