สำหรับผู้ที่วางแผนอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ นอกเหนือไปจากข้อมูลของหลักสูตรและสถาบันที่ได้รับการรับรองในเรื่องของมาตรฐานแล้ว “เงื่อนไขการสมัคร” ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่มองข้ามไม่ได้
ในประเทศสหรัฐอเมริกา มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ล้วนใช้คะแนนจากการสอบ SAT หรือ Scholastic Aptitude Test เพื่อยื่นสมัครเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ซึ่งข้อสอบตัวนี้ยังเป็นที่นิยมในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงหลักสูตรอินเตอร์ในประเทศไทย
วันนี้ เราจึงอยากจะชวนคุณมาทำความรู้จักกับสนามสอบสำคัญอย่าง SAT ในทุกแง่มุมที่ควรรู้ เพื่อนำไปสู่การพิชิตคะแนนในฝัน
SAT คืออะไร?
อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นว่านี่คือการสอบเพื่อนำคะแนนไปยื่นในระดับอุดมศึกษา ณ ต่างประเทศ
โดยตัวข้อสอบนั้นจะได้รับการพัฒนาจากองค์กร College Board อย่างสม่ำเสมอ เพื่อทดสอบว่าคุณเป็นคนที่มีทักษะการอ่าน การวิเคราะห์ และการเขียนที่ดีในระดับมาตรฐานที่วางไว้หรือไม่ ซึ่งส่วนที่จะถูกเน้นความสำคัญมากที่สุดคือ Mathematics และ Reading & Writing
อายุเท่าไหร่ถึงสอบได้?
การสอบ SAT ไม่ได้มีการกำหนดอายุของผู้เข้าสอบ แต่เนื่องจากคะแนนจะมีอายุแค่ 2 ปีนับตั้งแต่วันที่ประกาศผล ดังนั้นจึงนิยมสอบกันอย่างเร็วที่สุดในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
ลักษณะการสอบ SAT:
ข้อสอบ SAT มี 2 PARTS ได้แก่
1. Evidence-Based Reading & Writing
ใช้เวลา 1 ชม. 40 นาที (คะแนนเต็ม 800) แบ่งข้อสอบออกเป็น 2 ชุด คือ
– Reading มี 52 ข้อ
– Writing and Language มี 44 ข้อ จาก 4 บทความ
2. Mathematics
ใช้เวลา ใช้เวลา 1 ชม. 20 นาที (คะแนนเต็ม 800) แบ่งข้อสอบเป็น 2 ชุด คือ
– Math Test : Calculator มี 38 ข้อ เป็นทั้งแบบ Choice และ เติมคำตอบ โดยสามารถใช้เครื่องคิดเลขในการช่วยคำนวณได้
– Math Test : No Calculator มี 20 ข้อ เป็น Choice 16 ข้อ และเติมคำตอบ 4 ข้อ โดยห้ามใช้เครื่องคิดเลข คะแนนเต็ม 1,600 (Part ละ 800 คะแนน) ตอบผิดไม่ติดลบ
วิธีสมัครสอบ:
การสมัครสอบสามารถทำได้ผ่านทางออนไลน์ โดยจะต้องชำระเงินล่วงหน้าผ่านทางช่องทางที่กำหนด
ที่สำคัญ คุณควรเช็คสถานที่สอบที่ใกล้ที่สุดเพื่อความสะดวก และควรวางแผนการสมัครแต่เนิ่นๆ เนื่องจากสถานที่สอบหลายแห่งมักเต็มเร็ว ซึ่งอาจทำให้คุณต้องเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเพื่อไปสอบที่อื่นแทน
คะแนนนี้มีผลอย่างไร?
คะแนนจากการสอบทั้งหมดสูงสุดจะอยู่ที่ 1,600 คะแนน (พาร์ทละ 800 คะแนน) ค่าเฉลี่ยที่คนส่วนใหญ่ทำได้จะอยู่ที่ 1,060 คะแนน นั่นหมายความว่าหากคุณยิ่งทำคะแนนได้สูง โอกาสที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็ยิ่งมีมาก
ทำอย่างไรให้ได้คะแนนดี?
สิ่งแรกที่คุณควรศึกษาคือรูปแบบการสอบ SAT และการฝึกทำข้อสอบปีเก่าๆ เพื่อให้รู้ว่าตัวเองพลาดตรงส่วนไหน อีกทั้งยังสามารถวิเคราะห์ได้ว่าควรตอบลักษณะไหนจึงจะเข้าข่ายข้อถูกมากที่สุด
SAT เทียบกับ ACT อย่างไหนดีกว่า?
การสอบทั้งสองแบบมีความแตกต่างไปตามความถนัด ซึ่งโดยส่วนมาก มหาวิทยาลัยมักจะรับผลคะแนนทั้งสอบแบบในการสมัครเข้าเรียน
หากคุณถนัดในสายวิทยาศาสตร์ ACT อาจตอบโจทย์มากกว่า SAT ที่เน้นไปในด้านคณิตศาสตร์ สิ่งสำคัญคือการทบทวนข้อสอบและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับในส่วนของการเปิดรับสมัคร ในแต่ละปี College Board จะประกาศเปิดสอบเป็นรอบๆ ทำให้สามารถติดตามข่าวสารได้โดยตรงทั้งบนเว็บไซต์ หรือหน้าเพจที่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลดังกล่าว
ใครที่รู้ตัวแล้วว่าอยากไปเรียนต่อและกำลังรอสอบรอบต่อไป สามารถเตรียมความพร้อมไว้ได้ตั้งแต่วันนี้เลย เพราะการวางแผนที่ดี ช่วยให้คุณมีชัยมากกว่าครึ่ง :)
ที่มา: bachelorstudies ,ignitebyondemand