ผลการศึกษาใหม่จาก National Academy of Science, Engineering and Medicine แสดงให้เห็นถึงสถิติที่น่าสลดใจบางอย่าง
ร้อยละ 58 ของคณาจารย์และบุคลากรด้านการศึกษาหญิง รวมถึงนักศึกษาหญิงอีกร้อยละ 25 ต่างออกมายอมรับว่าเคยมีประสบการณ์การถูกล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งนี่เป็นข้อมูลที่ใกล้เคียงกับผลการวิจัยที่ได้รับการรายงานโดย Vice News เมื่อเร็วๆ นี้
“การล่วงละเมิดทางเพศที่รุนแรง”
ผู้หญิงในสาขา STEM คือหนึ่งในกลุ่มตัวอย่างที่ถููกเก็บข้อมูลการรายงานการล่วงละเมิดทางเพศ
นอกจากการจัดการกับการข่มขืนที่ไม่พึงประสงค์แล้ว สาวๆ เหล่านี้ยังต้องตอบโต้กับความคิดเห็นที่ “ลามก อนาจาร” จนบางครั้งก็นำไปสู่ทางเลือกสุดท้ายคือการละโอกาสที่จะได้เติบโตในอาชีพ และลาออกเพื่อเลี่ยงปัญหา
ผู้หญิงคนหนึ่งกล่าวถึงพฤติกรรมที่น่าหนักใจของเพื่อนร่วมงานชายว่า “เขาปิดปากของเธอในที่ทำงาน กระทำสิ่งที่หยาบคายกับเธอต่อหน้าเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ แล้วพูดกับเธอว่า เธอไม่ได้มีความสามารถเท่าคนอื่น หรือบอกคนอื่นว่าเธอไม่จริงใจ”
แนวทางการแก้ไขปัญหานี้
การศึกษายังพบอีกว่า ผู้หญิงได้รับการเยียวยาที่เลวร้ายยิ่งขึ้นในบางสาขา ในขณะที่นักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์หญิงกว่าร้อยละ 25 เคยถูกล่วงละเมิดทางเพศจากคณาจารย์และบุคลากร จำนวนนี้เพิ่มขึ้นถึง 40 เปอร์เซ็นต์ในหมู่นักศึกษาแพทย์
ในทั้งหมด 50 เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนที่เป็นโรคประจำตัว เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศ ขณะที่นักศึกษาสาวจากสาขาวิทยาศาสตร์อีก 20 เปอร์เซ็นต์ได้เผยความจริงที่น่าหว่นใจว่าพวกเธอเคยถูกทำร้ายทางเพศเช่นกัน
จากตัวเลขเหล่านี้ ทำให้เกิดคำถามที่ว่าเราจะสามารถแก้ไขสถานการณ์เหล่านี้ได้อย่างไร? มีการระบุว่า ปัจจัย 4 อย่างที่เป็นแรงกระตุ้นให้เกิดเรื่องนี้คือ สภาพแวดล้อมของสังคมที่ชายเป็นใหญ่ ความอดทนขององค์กรสำหรับพฤติกรรมเหล่านี้ ลำดับชั้นทางสังคม และ ความสัมพันธ์ระหว่างคณาจารย์และผู้เข้ารับการฝึกอบรม
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่รู้กันโดยทั่วไปว่าถูกปกปิดเป็นความลับ แต่ทุกคนก็รู้กันทั่วเพียงแค่ไม่สามารถพูดออกมาได้อย่างโจ่งเเจ้งเท่านั้น
ผู้ให้ความคิดเห็นรายหนึ่งกล่าวว่า “ฉันรู้สึกว่ามันเป็นเหมือนโรคระบาด มันบังคับให้คนต้องตกเป็นเหยื่อ ถูกควบคุม และผลักดันไปในจุดที่ไม่อยากเป็น”
ที่มา: masterstudies